ประวัติและปฏิปทาหลวงตาม้า วิริยธโร
วัด พุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ) ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
ร่วมรบในสงครามเวียดนาม

พบหลวงปู่ดู่ ศึกษาและปฏิบัติธรรม
![]() |
พระผงหลวงปู่ดู่ จะทำจากปูนขาว (ภาพตัวอย่าง) |
![]() |
หลวงตาม้า สมัยเป็นฆราวาส ยังเทียวไปปฏิบัติกับหลวงปู่ดู่ |
หลังจากนั้นหลวงตาม้า ท่านก็เทียวไปปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่ดู่อยู่เสมอๆ ท่านเล่าว่า "วันไหนคิดถึงหลวงปู่ดู่ อยากไปปฏิบัติธรรมกับท่าน ก็ไปเลย ว่าจะไปทำงานก็ไปขึ้นรถตู้ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ขึ้นไปอยุธยาแทน ก่อนไปก็โทรตู้หยอดเหรียญแถวๆนั้นแหละ โทรไปลางาน(ท่านหัวเราะไปพลางๆ)...บอกหัวหน้าวันนี้เจ็บท้อง ปวดหัวก็ว่าไป แล้วขึ้นรถตู้ไปปฏิบัติธรรมสวดมนต์กับหลวงปู่ที่โน่น วัดสะแก... "
หลวงตาท่านบอกว่า....ท่านเชื่อหลวงปู่ดู่ทุกอย่าง ท่านให้สวดมนต์หลวงตาท่านก็สวดในทุกอิริยาบทไม่ว่าจะ ไปทำงานกลับบ้าน นั่งรถเมล์กินข้าว อาบน้ำ สวดมนต์จนเข้านอน ก็อยู่กับบทสวดมนต์ ไตรสรณคมน์ที่หลวงปู่สอนตลอดจนหลับไป กำพระสวดมนต์ มองภาพหลวงปู่ เพราะหลวงปู่ท่านกล่าวกับหลวงตาว่า"ให้จิตเองอยู่กับข้าตลอด ข้ามีอะไรเองก็มีแบบข้า" ดังนั้นหลวงตาท่านจะพกรูปหลวงปู่ขนาดเล็กๆไว้เสมอ เพื่อไว้มองหลวงปู่ระลึกถึงหลวงปู่อยู่ตลอด พร้อมสวดมนต์ไปด้วย
บวชจิตให้เป็นพระ

แล้วท่านก็สอนการบวชจิตว่า ผู้ที่จะเป็นพระนั้น ใจต้องเป็นพระ บวชจิตให้เป็นพระ ตัวเราก็เป็นพระ โดยท่านสอนเรื่อง “การบวชจิต” ไว้ว่า ขณะกราบพระ ขณะนั่งสมาธิภาวนา ก็ให้นึกว่า
“พุทธังสรณังคัจฉามิ”- เรามีพระพุทธเจ้าเป็นพระอุปัชฌาย์
“ธัมมังสรณังคัจฉามิ”- เรามีพระธรรมเป็นพระกรรมวาจาจารย์
“สังฆังสรณังคัจฉามิ”- เรามีพระอริยสงฆ์เป็นพระอนุสาวนาจารย์
สำรวมจิตให้ดีมีความยินดีในการบวชชายก็เป็นภิกษุหญิงก็เป็นภิกษุณีพยายามรักษาใจให้เป็นพระอยู่เสมอจะมีอานิสงส์สูงเป็นเนกขัมมบารมีขั้นอุกฤษฎ์ ตื่นมาก็กราบพระนั่งรถ ทำงานกินข้าว อาบน้ำทำอะไรก็ให้นึกถึงพระทำใจให้อยู่ในบุญเสมอตามองอะไรก็ให้ได้บุญมองพระดูบทสวดมนต์หูฟังอะไรก็ให้ได้บุญได้ยินใครทำบุญก็อนุโมทนาไม่ใช่หูผึ่งฟังแต่เรื่องนินทาว่าร้ายกันใจอยู่กับบุญไปเรื่อยๆมันจะเบาสบายอะไรที่ไม่เป็นบุญมันจะไม่อยากเข้าใกล้ไม่อยากกินเหล้าเมายาสร้างบาปกรรมใดๆพอใจเป็นพระบ่อยๆเข้ากายก็จะค่อยๆเป็นพระไปเองต้องเริ่มจากข้างในไม่ใช่ข้างนอกบางคนข้างนอกห่มจีวรเป็นพระแต่ใจเป็นโจรก็ไม่เรียกว่าเป็นพระ
![]() |
หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา |
หลวงตาท่านกล่าวว่า..."ตลอดระยะ 10 กว่าปีที่ท่านเทียวไป เทียวมาปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่นี้ ท่านเห็นอะไรมากมายจากหลวงปู่ดู่ ทั้งปาฏิหาริย์บารมีท่าน เวลาหลวงปู่ท่านพูดอะไรนี้จะเป็นภาพให้เห็นเลย เวลาไปปฏิบัติธรรมกับท่าน ไปฟังท่านตอบปัญหาธรรมะ กับผู้คนที่มาถาม มากราบท่านเสมอๆ บางครั้งเวลาอยู่กับท่านสองคน ท่านก็จะเล่าเรื่องธรรมะต่างๆให้ฟัง ทั้งการเวียนวายตายเกิด ภพภูมิอะไรพวกนี้ มันจะเห็นเป็นภาพเลยเห็นเวลาท่านพูด แล้วแบบนี้จะไม่ให้เชื่อท่านได้อย่างไร..."
....เดิมทีหลวงตาท่านก็ไม่ได้ชื่อม้า แต่ชื่อของหลวงตาที่คนทั่วไปรู้จักและเรียกขานกันอยู่ในปัจจุบันนี้ ก็มาจากหลวงปู่ดู่ท่านเรียกหลวงตาว่า "ม้า" เพราะหลวงปู่ดู่ท่านจะเรียกเอกลักษณ์ของแต่ละคน โดยท่านอาจจะจำชื่อแต่ละบุคคลคนไม่ค่อยจะได้ จึงเรียกรูปลักษณ์ที่ท่านเห็นแทนตัวบุคคลนั้นๆ อย่างเช่นหลวงตาม้านี้ หลวงปู่ดู่ท่านก็เรียนว่าม้า เพราะสมัยเป็นฆราวาสนั้นหลวงตาม้า ท่านชอบตัดผมทรงหน้าม้า หลวงปู่ดู่ท่านจึงเรียกแทนชื่อว่า "ม้าๆ" นั้นเอง
ตายแล้วเกิดใหม่ก่อนออกบวช
![]() |
แหวนหลวงปู่ดู่ (ภาพตัวอย่าง) |

บวชพร้อมทั้งกายและใจ
![]() |
หลวงตาม้าเข้าพิธีอุปสมบท |
![]() |
พระครูภัทรกิจโสภณ (หลวงพ่อหวล) |
หลังจากบวชแล้ว หลวงตาต้องการจะออกธุดงค์เลย แต่หลวงพ่อหวลได้บอกให้อยู่ให้ครบพรรษาก่อน โดยขณะที่จำพรรษาอยู่วัดพุทไธศวรรย์นั้น หลวงพ่อหวล ผู้สืบวิชาสายหลวงพ่อเทียม วัดกษัตราธิราช และวิชาเหล็กไหลจากสายหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ยังจะถ่ายทอดวิชาอาคมต่างๆให้กับหลวงตาด้วย ทั้งที่ปกติท่านไม่เคยถ่ายทอดวิชาให้ใคร แต่หลวงตาก็ขอไม่เรียน เพราะท่านรู้สึกว่าเรื่องของคาถาอาคมมีพิธีกรรมมาก ต้องใช้เวลาเรียนและจดจำมาก และตัวท่านเองก็สนใจแต่การปฏิบัติตามแนวทางของหลวงปู่ดู่เพียงองค์เดียวเท่านั้นมาตลอด หลังออกพรรษา หลวงตาก็มากราบลาหลวงปู่ดู่เพื่อออกธุดงค์ หลวงปู่จึงมอบเงินให้หลวงตาไว้ ๕oo บาท รวมทั้งของใช้จำเป็นต่างๆ และได้หันไปหยิบ “รูปหล่อหลวงปู่ดู่เนื้อปูน” มาให้ ๑ องค์ แล้วบอกหลวงตาว่า “เอ็งไปไหน ข้าไปด้วย... หากสงสัยอะไรในการปฏิบัติให้แกถามเอาจากพระองค์นี้!!” (พระองค์นี้ ปัจจุบันได้มีลูกศิษย์ท่านหนึ่งมาขอจากหลวงตาไปแล้ว)
พญานาคที่ถ้ำฮก
หลังจากกราบลาหลวงปู่ดู่แล้ว หลวงตาได้เดินทางโดยรถไฟไปยังเชียงใหม่ แล้วเริ่มออกธุดงค์กำหนดจิตตามหาสถานที่ที่มีกระแสพลังงานเกี่ยวเนื่องกับหลวงปู่ดู่ไปเรื่อยๆ จนไปถึงพระบาทสี่รอย ท่านได้พบกับผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ได้บอกเล่าถึงตำบลเมืองนะว่า มีถ้ำที่มีบรรยากาศสงบสัปปายะเหมาะกับการปฏิบัติธรรม ซึ่งท่านได้ฟังแล้วรู้สึกว่ามีลักษณะคล้ายกับที่ตามหาอยู่ ท่านจึงได้ออกธุดงค์ต่อไปยังเมืองนะ
เมื่อธุดงค์มาถึงเมืองนะ ในช่วงแรกหลวงตาได้ไปพักอยู่ที่ถ้ำฮก ซึ่ง
ท่านเล่าให้ฟังว่า “ที่ถ้ำฮกจะมีงูอยู่ตัวหนึ่ง ตัวสีเขียวเหลือบแดง แล้วมีหงอนด้วย ก็คือพญานาคนั่นหล่ะ เค้าจะมาขดตัวอยู่ใกล้ๆกับกลดที่เราปฏิบัติธรรมทุกวัน แต่เราก็ไม่ได้สนใจอะไร ต่างคนต่างอยู่” โดยหลวงตาได้อยู่ปฏิบัติธรรมที่ถ้ำนี้ประมาณ ๑ เดือน แต่เนื่องจากถ้ำฮกเป็นถ้ำลึกที่มีทางน้ำใต้ดินไหลผ่าน ทำให้ถ้ำมีความชื้นมาก ไม่สะดวกต่อการอยู่ปฏิบัติธรรมนัก ท่านจึงได้ออกธุดงค์หาถ้ำอื่นต่อไป
พบถ้ำเมืองนะ ถ้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวพันกับหลวงปู่หลวงตา
![]() |
บริเวณถ้ำเมืองนะ วัดพระพุทธพรหมปัญโญ |
![]() |
พระที่หลวงปู่ดู่ ท่านมอบให้ เป็นพระพุทธชินราช ด้านหลัง หลวงตาม้า(ในรูป) |
นอกจากถ้ำเมืองนะจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวเนื่องกับหลวงปู่ดู่แล้ว ถ้ำนี้ยังมีความเกี่ยวพันกับหลวงตาเป็นอย่างมาก โดยหลวงตาเล่าว่า บริเวณกุฏิของท่านในปัจจุบันนี้ ตอนที่พบครั้งแรกท่านรู้สึกคุ้นเคยมาก รู้สึกว่ายังไงต้องเอาตรงนี้เป็นที่พักให้ได้ ท่านจึงได้กำหนดจิตดูก็พบว่า ที่ตรงนี้เคยเป็นวัดมาก่อนตั้งแต่สมัยอยุธยา และบริเวณนี้เป็นที่ที่ท่านซึ่งเป็นพระในสมัยนั้นเคยอยู่จำพรรษามาก่อน โดยท่านได้พบหลักฐานเป็นบาตรดินเก่าที่แตกหัก ซึ่งเป็นบาตรเก่าของท่านตั้งแต่สมัยนั้นอยู่ในบริเวณนี้ด้วย
เริ่มสร้างพระตามแนวทางหลวงปู่ดู่

ซึ่งในช่วงนี้หลวงตาเล่าว่า "ในถ้ำมีอากาศเย็นท่านจึงไม่อาบน้ำปีหนึ่งอาบหนึ่งครั้ง และไม่ได้ออกมาบิณฑบาตรเพราะจะมีชาวเขามาส่ง ข้าวปลาอาหารตอนเช้าๆให้ได้ฉันท์"
แต่หลังจากท่านเร่งปฏิบัติธรรม พิจารณาทบทวนธรรมะต่างๆที่หลวงปู่ดู่ได้ถ่ายทอดไว้ให้แล้ว ท่านก็ได้พบกระแสพลังงานเก่าของตนเองว่า ท่านเคยปรารถนาพุทธภูมิมาหลายภพหลายชาติแล้ว ท่านจึงหันมาปฏิบัติธรรมสร้างบารมีตามแนวทางพระโพธิสัตว์เช่นเดียวกับหลวงปู่ดู่ครูบาอาจารย์ของท่านนับแต่นั้นเป็นต้นมา
ต่อมาเมื่อหลวงปู่ดู่มรณภาพลงเมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๓๓ ท่านจึงได้ออกจากถ้ำเพื่อมาร่วมงานพระราชทานเพลิงศพในปีพ.ศ.๒๕๓๔ โดยหลวงตาได้พิจารณาเห็นว่า เมื่อหลวงปู่ไม่อยู่แล้ว ก็ไม่มีใครคอย
เป็นหลักในการแผ่เมตตาช่วยเหลือภพภูมิทั้งหลาย และสร้างพระเครื่องเพื่อเป็นกุศโลบายให้คนหันมาปฏิบัติธรรมแทนหลวงปู่เลย ในขณะที่ตัวท่านเองเป็นลูกศิษย์ที่ได้ศึกษากระแสพลังเหนือพลัง และความรู้ต่างๆจากหลวงปู่มาอย่างเต็มภูมิ
ต่อมาเมื่อหลวงปู่ดู่มรณภาพลงเมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๓๓ ท่านจึงได้ออกจากถ้ำเพื่อมาร่วมงานพระราชทานเพลิงศพในปีพ.ศ.๒๕๓๔ โดยหลวงตาได้พิจารณาเห็นว่า เมื่อหลวงปู่ไม่อยู่แล้ว ก็ไม่มีใครคอย
![]() |
ภาพหลวงปู่ดู่ยืน ท่านเคยสั่งเสียไว้ว่า ถ้าท่านมรณะภาพให้ยืนเผา |
รวมทั้งได้มาอยู่ที่ถ้ำเมืองนะซึ่งมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่รวมกระแสพลังงานอันไม่มีประมาณของหลวงปู่ทวดหลวงปู่ดู่เอาไว้อีกด้วย ท่านจึงควรจะช่วยทำหน้าที่วางรากฐาน และเผยแพร่แนวทางการปฏิบัติธรรมสร้างบารมีช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งหลาย และสร้างพระเครื่องเพื่อใช้ในการปฏิบัติธรรมตามแนวทางของหลวงปู่ดู่ต่อไป
![]() |
หลวงตาม้า ขณะกำลังเทพระผง"จักพรรดิ์" |
หลวงปู่ดู่ท่านมีบุญมาก
![]() |
ภาพที่มีคนมาปิดทองที่ขาหลวงปู่ดู่ |
หลวงตาได้เล่าให้ฟังเรื่องบุญบารมีอันมากล้นของหลวงปู่ดู่ว่า “ในสมัยนั้น แม้หลวงปู่จะอายุกว่า๗o ปีแล้ว แต่ท่านยังมีผิวสีชมพูสวยมาก ใครไปแตะโดนตัวท่านไม่ได้ ท่านมีบุญบารมีบริสุทธิ์มาก แต่พวกเรายังมีกิเลสมาก แตะโดนแล้วตัวท่านจะบวมเลย มีครั้งหนึ่งลูกศิษย์ขอปิดทองบูชาที่ขาท่าน ท่านก็เมตตาให้ปิด แต่พอเช้าวันต่อมาขาท่านบวมทั้งสองข้างเลย ตั้งแต่นั้นมาท่านไม่อนุญาตให้ใครปิดทองตัวท่านอีกเลย” หลวงตาเล่าพลางหัวเราะเบาๆก่อนทิ้งท้ายว่า “ตอนนั้นหลวงตาเองก็เป็นคนหนึ่งที่ไปปิดทองหลวงปู่ด้วย ตอนนั้นเราไม่รู้” ในสมัยที่หลวงปู่ดู่ยังอยู่นั้น หลวงปู่และลูกศิษย์จะช่วยกันสร้างพระทุกวันเพื่อฝึกให้ใจอยู่กับพระเสมอและนำพระไปใช้กำทำสมาธิภาวนา ซึ่งหลวงปู่ได้กล่าวถึงเรื่องพระเครื่องที่คนมักมองว่าเป็นเรื่องงมงายไว้อย่างน่าคิดว่า “ติดวัตถุมงคล ก็ยังดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล” อย่างน้อยดึงให้ใจเขาติดอยู่กับพระเครื่อง ให้เห็นพระทุกวันก็เป็นพุทธานุสติ ใจเขาก็เป็นบุญ ดีกว่าปล่อยให้ใจเขาไปติดอยู่กับเหล้ายากิเลสสิ่งไม่ดีอื่นๆ โดยลูกศิษย์ท่านหนึ่งที่ศึกษาวิธีการสร้างพระเครื่องของหลวงปู่ไว้อย่างครบถ้วน และช่วยท่านสร้างพระมาตลอดในสมัยนั้นก็คือ “หลวงตาม้า” นั่นเอง
***เหตุที่มีการขอปิดทองที่ขาหลวงปู่ดู่ในเวลานั้น ทราบภายหลังจากหลวงตาว่า "หลวงปู่ดู่กับหลวงปู่ทวด ท่านเป็นองค์เดียวกัน นั้นคือเป็นพระโพธิ์สัตว์ที่บารมีเต็มแล้ว และจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตคือ พระศรีอริยเมตไตรย จึงมีลูกศิษย์ผู้ที่ฝึกจับกระแสพลังงานพระโพธิ์สัตว์ได้ทราบถึง จึงขอเมตตาหลวงปู่ปิดทองที่ขา เพื่อขอบูชา พระศรีอริยเมตไตรยในอนาคต"***
ด้านวัตถุมงคล
![]() |
พระผงจักพรรดิ์เนื้อปูนสีขาว ตามสูตรหลวงปู่ดู่ ที่หลวงตาม้า เทแจกในปัจจุบัน |
.....ส่วนใหญ่พระที่หลวงตาท่านเน้นสร้าง และเริ่มสร้างเองมาโดยตลอดนั้นคือพระผงสีขาว ซึ่งทำจากปูนขาวมีหลากหลายพิมพ์ตามแต่หลวงตาท่านจะเทแจก โดยจะมีส่วนผสมของ "ผงจักพรรดิ์" ซึ่งหลวงตาเคยเล่าว่า "สมัยก่อนในกุฏิหลวงปู่ดู่ ท่านจะมีกระดานชนวนไว้ลบผง แต่หลวงตาไม่ทราบว่าท่านลบผงอะไร แล้วท่านจะนำผงนั้นไปผสมเป็นมวลสารเทพระไว้แจกสวดมนต์" โดยพระที่หลวงตาท่านสร้างนั้น ส่วนมากจะแจกไว้ให้นำไป "สวดมนต์ภาวนา" เป็นหลักตามสูตรหลวงปู่ดู่ ควบคู่กับบทสวด "พระมหาจักพรรดิ์"

บทสวดพระคาถามหาจักรพรรดิ
นโม พุทธายะ พระพุทธะไตรรัตนญาณ มณีนพรัตน์
สีสหัสสะสุธรรมา พุทโธ ธัมโม สังโฆ
ยะ-ธา-พุท-โม-นะ พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา
อัคคีทานังวรังคันธัง สีวลี จะ มหาเถรัง อหัง วันทามิ ทูรโต
อหัง วันทามิ ธาตุโย อหัง วันทามิ สัพพโส
พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ
ขอขอบคุณ อ้างอิงข้อมูลโดย
- บทความโดย ดร.รอบทิศ ไวยสุศรี
แฟนพันธ์แท้ พระเกจิคณาจารย์ ปี 2006
แฟนพันธ์แท้ พระเกจิคณาจารย์ ปี 2006