หน้าเว็บ

ประวัติและปฏิปทาหลวงตาม้า วิริยธโร



ประวัติและปฏิปทาหลวงตาม้า วิริยธโร
วัดพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ) ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว .เชียงใหม่


    พระอาจารย์วรงคต วิริยธโร (หลวงตาม้า) ถือกำเนิดที่ อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร ในสกุล สุวรรณคุณ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๗ โยมบิดาชื่อวันดี โยมมารดาชื่อโสภา เป็นบุตรคนที่ ๒ ในพี่น้องทั้งหมด ๓ คน โดยเมื่อหลวงตาเกิดมานั้น คุณแม่ได้นำท่านไปฝากให้คุณยายเลี้ยง ทำให้ท่านได้มีโอกาสคุ้นเคยกับการเข้าวัดอยู่เสมอมาตั้งแต่เล็ก โดยหลวงตาเล่าว่า ในสมัยยังเด็กนั้น ท่านเคยไปร่วมพิธีพระราชทานเพลิงศพของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พ่อแม่ครูบาอาจารย์ใหญ่แห่งสายพระป่าด้วย ซึ่งในงานนั้นท่านได้มีโอกาสพบเห็นพระธุดงค์สายพระป่าผู้มีปฏิปทาจริยวัตรงดงามเรียบร้อยมาร่วมงานอย่างมากมาย

ร่วมรบในสงครามเวียดนาม


       ในช่วงที่เกิดสงครามเวียดนามขึ้นนั้น หลวงตาได้มีโอกาสไปร่วมรบในสงครามเวียดนามด้วย โดยได้ร่วมรบอยู่เป็นเวลานานถึง ๑ ปีเต็ม ซึ่งในตอนที่เป็นทหารอยู่นั้น หลวงตาเล่าว่า ท่านได้เก็บพระหลวงปู่ทวดเนื้อว่านรุ่นแรกปี ๒๔๙๗ ได้โดยบังเอิญในบริเวณสนามรบโดยไม่รู้ว่าเป็นของใคร ท่านจึงนำมาพกติดตัวไว้ในกระเป๋าเรื่อยมา แต่หลังจากสงครามสงบแล้ว พระองค์นั้นก็ไม่รู้ว่าได้ตกหายไปที่ใด ในขณะที่ร่วมรบอยู่นั้น หลวงตาได้ประสบภัยจากสงครามด้วย โดยท่านโดนสะเก็ดระเบิดกระเด็นฝังเข้าที่หลังของท่านอย่างจัง แต่กลับไม่เป็นอะไรมาก เมื่อไปพบแพทย์ แพทย์บอกว่าถ้าแผลไม่อักเสบก็ไม่จำเป็นต้องผ่าออก ซึ่งแผลนั้นก็ไม่มีอาการอักเสบแต่อย่างใด กลางแผ่นหลังของหลวงตาจึงมีสะเก็ดระเบิดฝังอยู่เป็นอนุสรณ์จากการร่วมรบนับแต่นั้นเป็นต้นมา โดยหลวงตาได้เล่าให้ฟังว่า ในภายหลังเมื่อท่านได้พบกับหลวงปู่ดู่แล้ว หลวงปู่ได้เมตตาอธิษฐานจิตให้สะเก็ดระเบิดที่ฝังอยู่กลางหลังนั้นกลายเป็นพระไปเรียบร้อยแล้ว


พบหลวงปู่ดู่ ศึกษาและปฏิบัติธรรม


พระผงหลวงปู่ดู่ จะทำจากปูนขาว
(ภาพตัวอย่าง)
       ต่อมาหลวงตาได้เข้ามาอยู่ที่กรุงเทพฯ โดยเข้ามาเป็นเด็กวัดอยู่ที่วัดเบญจมบพิตรคณะ ๑๑ จากนั้นท่านจึงได้เข้าทำงานอยู่ที่ธนาคารกสิกรไทยสำนักงานใหญ่ (บริเวณซอยอารีย์) และในช่วงที่ทำงานอยู่นี้เองเพื่อนคนหนึ่งของท่านได้ไปบวชที่วัดสะแก ท่านจึงได้ตามไปงานบวชของเพื่อนและได้พบกับหลวงปู่ดู่เป็นครั้งแรกเมื่อประมาณพ.ศ. ๒๕๑๙-๒๕๒o ครั้งแรกที่หลวงตาได้พบหลวงปู่ดู่นั้น หลวงปู่ได้มอบพระให้ท่าน ๑ องค์ เพื่อนำไปใช้กำไว้ขณะทำสมาธิ และสอนให้ภาวนาไตรสรณคมน์“พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ” ซึ่งในครั้งแรกที่หลวงตานำพระมากำทำสมาธิตามที่หลวงปู่สอนนั้น ท่านก็รู้สึกว่าสามารถทำสมาธิได้นิ่งสงบเบาสบายดีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และหลังจากนั้นมาจนถึงปัจจุบัน หลวงตาไม่เคยไปศึกษากับครูบาอาจารย์ท่านใดอีกเลย มุ่งศึกษากระแสพลังเหนือพลังจากหลวงปู่ดู่เพียงองค์เดียวมาโดยตลอด โดยหลวงตากล่าวว่า “หลวงปู่จะสอนศิษย์แต่ละคนไม่เหมือนกัน ท่านจะดูจากจริตนิสัยบุญบารมีของแต่ละคน เวลาหลวงปู่อยู่กับหลวงตาเพียงลำพังก็จะสอนอีกแบบหนึ่งไม่เหมือนคนอื่น หลวงปู่ท่านมีความรู้มาก มีบุญบารมีเต็มล้นแล้ว หลวงตาเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของท่านเท่านั้น”



หลวงตาม้า สมัยเป็นฆราวาส
ยังเทียวไปปฏิบัติกับหลวงปู่ดู่
       หลวงตาเล่าว่า แม้ช่วงแรกๆที่รู้จักกับหลวงปู่ดู่แล้วก็ไม่ได้อะไรมาก แต่มีความรู้สึกลึกๆว่าอยู่กับหลวงปู่ดู่แล้วรู้สึกเย็นจิตเย็นใจ มีความสบายใจ อย่างบอกไม่ถูก แม้พึ่งได้มาพบหลวงปู่เพียงครั้งแรกก็รู้สึกได้แล้ว แต่ในช่วงนั้นหลวงตาท่านก็ยังเที่ยว ยังดื่มสุราสังสรรค์กับเพื่อนๆที่ทำงานอยู่เสมอๆหลังเลิกงานอยู่ แต่พอเริ่มมาปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่ดู่หลายวัน หลายเดือนเข้า หลวงตาท่านก็เริ่มออกห่างจากการดื่มสุรา เริ่มไม่ไปสังสรรค์กับเพื่อนหลังเลิกงานเหมือนก่อนๆที่จะมาเจอหลวงปู่ดู่ จนเพื่อนที่ทำงานกับหลวงตาถามว่าเลิกเที่ยวเลยดื่มสุราแล้วหรือแล้วไปทำอะไร หลวงตาตอบกับเพื่อนๆไปว่า "เดี่ยวนี้เข้าวัดไปสวดมนต์" เพื่อนๆที่ทำงานหลวงตาจึงให้ฉายา เรียกขานหลวงตาก่อนจะบวชเป็นพระ ซึ่งในตอนนั้นยังเป็นฆราวาสอยู่ว่า "หลวงตา" แทนเรียกชื่อของท่านไป(ทำนองว่าฉายา เพื่อนเรียกกัน)

หลังจากนั้นหลวงตาม้า ท่านก็เทียวไปปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่ดู่อยู่เสมอๆ ท่านเล่าว่า "วันไหนคิดถึงหลวงปู่ดู่ อยากไปปฏิบัติธรรมกับท่าน ก็ไปเลย ว่าจะไปทำงานก็ไปขึ้นรถตู้ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ขึ้นไปอยุธยาแทน ก่อนไปก็โทรตู้หยอดเหรียญแถวๆนั้นแหละ โทรไปลางาน(ท่านหัวเราะไปพลางๆ)...บอกหัวหน้าวันนี้เจ็บท้อง ปวดหัวก็ว่าไป แล้วขึ้นรถตู้ไปปฏิบัติธรรมสวดมนต์กับหลวงปู่ที่โน่น วัดสะแก... "

หลวงตาท่านบอกว่า....ท่านเชื่อหลวงปู่ดู่ทุกอย่าง ท่านให้สวดมนต์หลวงตาท่านก็สวดในทุกอิริยาบทไม่ว่าจะ ไปทำงานกลับบ้าน นั่งรถเมล์กินข้าว อาบน้ำ สวดมนต์จนเข้านอน ก็อยู่กับบทสวดมนต์ ไตรสรณคมน์ที่หลวงปู่สอนตลอดจนหลับไป กำพระสวดมนต์ มองภาพหลวงปู่ เพราะหลวงปู่ท่านกล่าวกับหลวงตาว่า"ให้จิตเองอยู่กับข้าตลอด ข้ามีอะไรเองก็มีแบบข้า" ดังนั้นหลวงตาท่านจะพกรูปหลวงปู่ขนาดเล็กๆไว้เสมอ เพื่อไว้มองหลวงปู่ระลึกถึงหลวงปู่อยู่ตลอด พร้อมสวดมนต์ไปด้วย


บวชจิตให้เป็นพระ

     ท่านเทียวไปเทียวมากรุงเทพฯ-อยุธยาเพื่อศึกษาแนวทางการปฏิบัติต่างๆกับหลวงปู่ดู่เป็นเวลากว่า ๑o ปี และมีความรู้สึกอยากบวชมาตลอด หลวงตาม้าท่านก็เลยถือโอกาสถามหลวงปู่ดู่ว่า "ผมจะได้บวชไหมครับ" หลวงปู่ดู่ท่านก็ไม่ตอบอะไร บอกแต่ว่า "เองสวดมนต์ไปเรื่อยๆเถอะ ถึงเวลาเองไม่อยู่แน่ๆ"

แล้วท่านก็สอนการบวชจิตว่า ผู้ที่จะเป็นพระนั้น ใจต้องเป็นพระ บวชจิตให้เป็นพระ ตัวเราก็เป็นพระ โดยท่านสอนเรื่อง “การบวชจิต” ไว้ว่า ขณะกราบพระ ขณะนั่งสมาธิภาวนา ก็ให้นึกว่า

“พุทธังสรณังคัจฉามิ”- เรามีพระพุทธเจ้าเป็นพระอุปัชฌาย์
“ธัมมังสรณังคัจฉามิ”- เรามีพระธรรมเป็นพระกรรมวาจาจารย์
“สังฆังสรณังคัจฉามิ”- เรามีพระอริยสงฆ์เป็นพระอนุสาวนาจารย์

สำรวมจิตให้ดีมีความยินดีในการบวชชายก็เป็นภิกษุหญิงก็เป็นภิกษุณีพยายามรักษาใจให้เป็นพระอยู่เสมอจะมีอานิสงส์สูงเป็นเนกขัมมบารมีขั้นอุกฤษฎ์ ตื่นมาก็กราบพระนั่งรถ ทำงานกินข้าว อาบน้ำทำอะไรก็ให้นึกถึงพระทำใจให้อยู่ในบุญเสมอตามองอะไรก็ให้ได้บุญมองพระดูบทสวดมนต์หูฟังอะไรก็ให้ได้บุญได้ยินใครทำบุญก็อนุโมทนาไม่ใช่หูผึ่งฟังแต่เรื่องนินทาว่าร้ายกันใจอยู่กับบุญไปเรื่อยๆมันจะเบาสบายอะไรที่ไม่เป็นบุญมันจะไม่อยากเข้าใกล้ไม่อยากกินเหล้าเมายาสร้างบาปกรรมใดๆพอใจเป็นพระบ่อยๆเข้ากายก็จะค่อยๆเป็นพระไปเองต้องเริ่มจากข้างในไม่ใช่ข้างนอกบางคนข้างนอกห่มจีวรเป็นพระแต่ใจเป็นโจรก็ไม่เรียกว่าเป็นพระ


หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
วัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา
หลวงตาท่านกล่าวว่า..."ตลอดระยะ 10 กว่าปีที่ท่านเทียวไป เทียวมาปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่นี้ ท่านเห็นอะไรมากมายจากหลวงปู่ดู่ ทั้งปาฏิหาริย์บารมีท่าน เวลาหลวงปู่ท่านพูดอะไรนี้จะเป็นภาพให้เห็นเลย เวลาไปปฏิบัติธรรมกับท่าน ไปฟังท่านตอบปัญหาธรรมะ กับผู้คนที่มาถาม มากราบท่านเสมอๆ บางครั้งเวลาอยู่กับท่านสองคน ท่านก็จะเล่าเรื่องธรรมะต่างๆให้ฟัง ทั้งการเวียนวายตายเกิด ภพภูมิอะไรพวกนี้ มันจะเห็นเป็นภาพเลยเห็นเวลาท่านพูด แล้วแบบนี้จะไม่ให้เชื่อท่านได้อย่างไร..."

....เดิมทีหลวงตาท่านก็ไม่ได้ชื่อม้า แต่ชื่อของหลวงตาที่คนทั่วไปรู้จักและเรียกขานกันอยู่ในปัจจุบันนี้ ก็มาจากหลวงปู่ดู่ท่านเรียกหลวงตาว่า "ม้า" เพราะหลวงปู่ดู่ท่านจะเรียกเอกลักษณ์ของแต่ละคน โดยท่านอาจจะจำชื่อแต่ละบุคคลคนไม่ค่อยจะได้ จึงเรียกรูปลักษณ์ที่ท่านเห็นแทนตัวบุคคลนั้นๆ อย่างเช่นหลวงตาม้านี้ หลวงปู่ดู่ท่านก็เรียนว่าม้า เพราะสมัยเป็นฆราวาสนั้นหลวงตาม้า ท่านชอบตัดผมทรงหน้าม้า หลวงปู่ดู่ท่านจึงเรียกแทนชื่อว่า "ม้าๆ" นั้นเอง


ตายแล้วเกิดใหม่ก่อนออกบวช

แหวนหลวงปู่ดู่
(ภาพตัวอย่าง)
.......แม้หลวงตาจะเป็นฆราวาสแต่ก็บวชใจเป็นพระเรื่อยมา จนกระทั่งประมาณ ๑ ปีก่อนจะออกบวชจริงๆ ขณะที่ท่านขับมอเตอร์ไซด์อยู่ที่อยุธยา รถของท่านก็โดนรถเฉี่ยวจนตัวท่านลอยสูง แล้วตกลงมาหัวโหม่งกับพื้นถนนอย่างรุนแรงจนสลบไป!! หลังจากนำตัวส่งโรงพยาบาลแล้ว หมอบอกว่ากะโหลกของท่านร้าว แต่โชคดีมากที่ไม่มีเลือดคั่งในสมองและไม่มีบาดแผลรุนแรงใดๆเลย เพียง ๓ เดือนกะโหลกก็ประสานกันดีเหมือนเดิม ซึ่งหลวงตาเล่าให้ฟังว่า วันนั้นท่านห้อยเพียงพระและสวมแหวนของหลวงปู่เท่านั้น ต่อมาเมื่ออาการดีขึ้นท่านจึงไปกราบหลวงปู่ ซึ่งหลวงปู่ได้บอกว่า “ตายแล้วเกิดใหม่ เอ็งมีชีวิตใหม่แล้ว ชีวิตเก่าตายไปแล้ว นี่คือชีวิตใหม่แล้ว!!”


หลวงตาท่านอธิบายในช่วงนี้ไว้ว่า..."ในช่วงที่รถมอไซด์ท่านกำลังเสียหลัก เสี่ยววินาทีนั้นเองจิตของท่านไปจับอยู่ที่ความเบาทันที ซึ่งเป็นความเบาที่เหมือนการสวดมนต์ พอรถเสียหลักล้ม ท่านว่ามันเงียบหายไปเลย ไม่รู้ตัวไปไหนไม่มีความเจ็บความปวดอะไรเลย มารู้ตัวอีกที่ก็อยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว" ท่านจึงไปเล่าเรื่องนี้ให้หลวงปู่ดู่ฟัง หลวงปู่ดู่ท่านตอบว่า "เออนั้นแหละ ความเบาที่เกิดจากการที่แกฝึกการสวดมนต์ เวลาตายก็เหมือนกันนั้นแหละ มันจะไม่ได้รับทุกขเวทมาก มันจับความเบาเลย" หลวงตาม้าท่านบอกในภายหลังว่า"นั้นแหละ อาการจิตเป็นพรหม คนก่อนตายนี้มันทุกข์มาก ทุกข์เพราะธาตุมันบีบสุดท้ายก็ติดทุกข์ตายไปก็ไปลงนรกบ้างละ ไปเป็นสัมภเวสีบ้างละ แต่ถ้าเรามาฝึกให้จิตเบาเนี่ย พอธาตุบีบเนี่ยมันออกเลยนะ จิตมันออกไปแล้ว ก็ไม่ทุกข์ไง นั้นแหละจิตเบา(ท่านหัวเราะพลางๆ)...มาสวดมนต์ มาฝึกเตรียมตัวตาย"


บวชพร้อมทั้งกายและใจ

         
หลวงตาม้าเข้าพิธีอุปสมบท
หลังผ่านอุบัติเหตุครั้งใหญ่ ผ่านการบวชจิต การศึกษาแนวทางปฏิบัติต่างๆจากหลวงปู่ดู่มาอย่างเต็มภูมิแล้ว หลวงตาก็พร้อมจะบวชเป็นพระทั้งกายและใจ แต่เนื่องจากหลวงปู่ดู่ไม่ได้เป็นพระอุปัชฌาย์ และท่านได้บอกไว้ว่า “เวลาบวชต้องดูอุปัชฌาย์ ถ้าอุปัชฌาย์ไม่เป็นพระ เราก็เป็นพระไม่ได้”
หลวงตาจึงได้ไปอุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๓๑ ณ วัดพุทไธศวรรย์ จ.อยุธยา โดยมีพระครูภัทรกิจโสภณ (หลวงพ่อหวล) เจ้าอาวาสวัดพุทไธศวรรย์ (สมณศักดิ์ปัจจุบันคือ พระพุทไธศวรรย์วรคุณ) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสุนทรธรรมนิเทศ (บุญส่ง) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูพิจิตรกิจจาทร (เสน่ห์) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ โดยได้รับฉายาว่า 
“วิริยธโร” 


พระครูภัทรกิจโสภณ
(หลวงพ่อหวล)
        หลังจากบวชแล้ว หลวงตาต้องการจะออกธุดงค์เลย แต่หลวงพ่อหวลได้บอกให้อยู่ให้ครบพรรษาก่อน โดยขณะที่จำพรรษาอยู่วัดพุทไธศวรรย์นั้น หลวงพ่อหวล ผู้สืบวิชาสายหลวงพ่อเทียม วัดกษัตราธิราช และวิชาเหล็กไหลจากสายหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ยังจะถ่ายทอดวิชาอาคมต่างๆให้กับหลวงตาด้วย ทั้งที่ปกติท่านไม่เคยถ่ายทอดวิชาให้ใคร แต่หลวงตาก็ขอไม่เรียน เพราะท่านรู้สึกว่าเรื่องของคาถาอาคมมีพิธีกรรมมาก ต้องใช้เวลาเรียนและจดจำมาก และตัวท่านเองก็สนใจแต่การปฏิบัติตามแนวทางของหลวงปู่ดู่เพียงองค์เดียวเท่านั้นมาตลอด หลังออกพรรษา หลวงตาก็มากราบลาหลวงปู่ดู่เพื่อออกธุดงค์ หลวงปู่จึงมอบเงินให้หลวงตาไว้ ๕oo บาท รวมทั้งของใช้จำเป็นต่างๆ และได้หันไปหยิบ “รูปหล่อหลวงปู่ดู่เนื้อปูน” มาให้ ๑ องค์ แล้วบอกหลวงตาว่า “เอ็งไปไหน ข้าไปด้วย... หากสงสัยอะไรในการปฏิบัติให้แกถามเอาจากพระองค์นี้!!” (พระองค์นี้ ปัจจุบันได้มีลูกศิษย์ท่านหนึ่งมาขอจากหลวงตาไปแล้ว)

พญานาคที่ถ้ำฮก

        หลังจากกราบลาหลวงปู่ดู่แล้ว หลวงตาได้เดินทางโดยรถไฟไปยังเชียงใหม่ แล้วเริ่มออกธุดงค์กำหนดจิตตามหาสถานที่ที่มีกระแสพลังงานเกี่ยวเนื่องกับหลวงปู่ดู่ไปเรื่อยๆ จนไปถึงพระบาทสี่รอย ท่านได้พบกับผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ได้บอกเล่าถึงตำบลเมืองนะว่า มีถ้ำที่มีบรรยากาศสงบสัปปายะเหมาะกับการปฏิบัติธรรม ซึ่งท่านได้ฟังแล้วรู้สึกว่ามีลักษณะคล้ายกับที่ตามหาอยู่ ท่านจึงได้ออกธุดงค์ต่อไปยังเมืองนะ

เมื่อธุดงค์มาถึงเมืองนะ ในช่วงแรกหลวงตาได้ไปพักอยู่ที่ถ้ำฮก ซึ่ง

ท่านเล่าให้ฟังว่า “ที่ถ้ำฮกจะมีงูอยู่ตัวหนึ่ง ตัวสีเขียวเหลือบแดง แล้วมีหงอนด้วย ก็คือพญานาคนั่นหล่ะ เค้าจะมาขดตัวอยู่ใกล้ๆกับกลดที่เราปฏิบัติธรรมทุกวัน แต่เราก็ไม่ได้สนใจอะไร ต่างคนต่างอยู่” โดยหลวงตาได้อยู่ปฏิบัติธรรมที่ถ้ำนี้ประมาณ ๑ เดือน แต่เนื่องจากถ้ำฮกเป็นถ้ำลึกที่มีทางน้ำใต้ดินไหลผ่าน ทำให้ถ้ำมีความชื้นมาก ไม่สะดวกต่อการอยู่ปฏิบัติธรรมนัก ท่านจึงได้ออกธุดงค์หาถ้ำอื่นต่อไป



พบถ้ำเมืองนะ ถ้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวพันกับหลวงปู่หลวงตา

บริเวณถ้ำเมืองนะ วัดพระพุทธพรหมปัญโญ
      หลังออกจากถ้ำฮก หลวงตาได้ธุดงค์ตามกระแสพลังงานของหลวงปู่ดู่ไปเรื่อยๆ จนได้พบกับถ้ำเมืองนะซึ่งในสมัยนั้นมีต้นไม้ขึ้นปกคลุมจนมองไม่เห็นปากถ้ำ แต่เมื่อแหวกต้นไม้เข้าไปกลับพบว่าในถ้ำซึ่งเป็นถ้ำร้างนั้นกลับสะอาดสะอ้านมากเหมือนมีใครมาปัดกวาดเช็ดถูอยู่ทุกวัน ท่านจึงได้กำหนดจิตดูก็พบว่าใต้ถ้ำแห่งนี้เป็นเมืองบาดาล และมีพญานาคอยู่เป็นจำนวนมากคอยเฝ้ารักษาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างหนึ่งที่เกี่ยวเนื่องกับหลวงปู่ทวดและหลวงปู่ดู่เอาไว้ ท่านจึงตัดสินใจอยู่ปฏิบัติธรรมที่ถ้ำเมืองนะแห่งนี้เรื่อยมา



พระที่หลวงปู่ดู่ ท่านมอบให้
เป็นพระพุทธชินราช ด้านหลัง
หลวงตาม้า(ในรูป)
       หลังจากจำพรรษาที่ถ้ำเมืองนะได้ไม่นาน ก็มีลูกศิษย์หลวงปู่ดู่ตามขึ้นมาหาหลวงตาและเล่าให้ท่านฟังว่า หลวงปู่เล่าให้เขาฟังหมดทุกอย่างว่าหลวงตาจะไปอยู่ที่ถ้ำไหน ลักษณะของถ้ำเป็นอย่างไร ทั้งที่หลวงปู่ไม่เคยมาที่ถ้ำแห่งนี้ และไม่เคยออกจากกุฏิของท่านที่อยุธยาเลย และในเวลาต่อมา ลวงปู่ดู่ยังได้เมตตาอธิษฐานจิตพระหน้าตัก ๑๙ นิ้วองค์หนึ่งให้ลูกศิษย์นำขึ้นมามอบให้หลวงตาประดิษฐานไว้ในถ้ำเมืองนะแห่งนี้อีกด้วย

      นอกจากถ้ำเมืองนะจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวเนื่องกับหลวงปู่ดู่แล้ว ถ้ำนี้ยังมีความเกี่ยวพันกับหลวงตาเป็นอย่างมาก โดยหลวงตาเล่าว่า บริเวณกุฏิของท่านในปัจจุบันนี้ ตอนที่พบครั้งแรกท่านรู้สึกคุ้นเคยมาก รู้สึกว่ายังไงต้องเอาตรงนี้เป็นที่พักให้ได้ ท่านจึงได้กำหนดจิตดูก็พบว่า ที่ตรงนี้เคยเป็นวัดมาก่อนตั้งแต่สมัยอยุธยา และบริเวณนี้เป็นที่ที่ท่านซึ่งเป็นพระในสมัยนั้นเคยอยู่จำพรรษามาก่อน โดยท่านได้พบหลักฐานเป็นบาตรดินเก่าที่แตกหัก ซึ่งเป็นบาตรเก่าของท่านตั้งแต่สมัยนั้นอยู่ในบริเวณนี้ด้วย

เริ่มสร้างพระตามแนวทางหลวงปู่ดู่

          ประมาณ ๓ ปีแรกที่หลวงตามาปฏิบัติธรรมอยู่ถ้ำเมืองนะนั้น ท่านจะจำวัดในโลงศพเสมอ และยังได้ตั้งจิตอธิษฐานเร่งความเพียรปฏิบัติธรรมอยู่แต่ภายในบริเวณถ้ำโดยไม่ออกไปไหน เพื่อหวังจะได้บรรลุนิพพานในชาตินี้
ซึ่งในช่วงนี้หลวงตาเล่าว่า "ในถ้ำมีอากาศเย็นท่านจึงไม่อาบน้ำปีหนึ่งอาบหนึ่งครั้ง และไม่ได้ออกมาบิณฑบาตรเพราะจะมีชาวเขามาส่ง ข้าวปลาอาหารตอนเช้าๆให้ได้ฉันท์"

 แต่หลังจากท่านเร่งปฏิบัติธรรม พิจารณาทบทวนธรรมะต่างๆที่หลวงปู่ดู่ได้ถ่ายทอดไว้ให้แล้ว ท่านก็ได้พบกระแสพลังงานเก่าของตนเองว่า ท่านเคยปรารถนาพุทธภูมิมาหลายภพหลายชาติแล้ว ท่านจึงหันมาปฏิบัติธรรมสร้างบารมีตามแนวทางพระโพธิสัตว์เช่นเดียวกับหลวงปู่ดู่ครูบาอาจารย์ของท่านนับแต่นั้นเป็นต้นมา

          ต่อมาเมื่อหลวงปู่ดู่มรณภาพลงเมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๓๓ ท่านจึงได้ออกจากถ้ำเพื่อมาร่วมงานพระราชทานเพลิงศพในปีพ.ศ.๒๕๓๔ โดยหลวงตาได้พิจารณาเห็นว่า เมื่อหลวงปู่ไม่อยู่แล้ว ก็ไม่มีใครคอย
ภาพหลวงปู่ดู่ยืน
ท่านเคยสั่งเสียไว้ว่า
 ถ้าท่านมรณะภาพให้ยืนเผา
เป็นหลักในการแผ่เมตตาช่วยเหลือภพภูมิทั้งหลาย
และสร้างพระเครื่องเพื่อเป็นกุศโลบายให้คนหันมาปฏิบัติธรรมแทนหลวงปู่เลย ในขณะที่ตัวท่านเองเป็นลูกศิษย์ที่ได้ศึกษากระแสพลังเหนือพลัง และความรู้ต่างๆจากหลวงปู่มาอย่างเต็มภูมิ 

       รวมทั้งได้มาอยู่ที่ถ้ำเมืองนะซึ่งมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่รวมกระแสพลังงานอันไม่มีประมาณของหลวงปู่ทวดหลวงปู่ดู่เอาไว้อีกด้วย ท่านจึงควรจะช่วยทำหน้าที่วางรากฐาน และเผยแพร่แนวทางการปฏิบัติธรรมสร้างบารมีช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งหลาย และสร้างพระเครื่องเพื่อใช้ในการปฏิบัติธรรมตามแนวทางของหลวงปู่ดู่ต่อไป


หลวงตาม้า ขณะกำลังเทพระผง"จักพรรดิ์"
ในครั้งแรก หลวงตาไม่มั่นใจนักว่าจะสามารถทำหน้าที่แทนหลวงปู่ได้หรือไม่ แต่เมื่อนึกถึงที่หลวงปู่เคยบอกท่านไว้ก่อนออกธุดงค์ว่า “เอ็งไปไหน ข้าไปด้วย” ก็ทำให้ท่านมีกำลังใจว่าหลวงปู่จะต้องคอยช่วยให้ท่านทำหน้าที่นี้ได้สำเร็จแน่ หลวงตาจึงได้อธิษฐานจิตว่า ถ้าจะให้ท่านทำหน้าที่แทนหลวงปู่ได้ ขอให้หลวงปู่นำของที่เกี่ยวเนื่องกับหลวงปู่มาให้ภายใน ๓ เดือน... ซึ่งหลังจากท่านอธิษฐานได้เพียง ๒ เดือน ก็มีลูกศิษย์ของหลวงปู่ขึ้นมาที่ถ้ำ และมอบสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่กายของหลวงปู่ชิ้นหนึ่งให้กับท่าน ทั้งที่เขาบูชาของสิ่งนั้นมาในราคาแพงหลักแสน โดยเขากล่าวว่า อยู่กับเขาก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่กับหลวงตามีประโยชน์กว่า และหลังจากนั้นก็เริ่มมีคนนำมวลสารของหลวงปู่ดู่มาถวายให้ท่านมากมายหลายอย่าง ท่านจึงได้เริ่มเผยแพร่แนวทางการปฏิบัติธรรมในสายโพธิญาณ และสร้างพระตามแนวทางของหลวงปู่ดู่เรื่อยมาตั้งแต่ประมาณปีพ.ศ. ๒๕๓๔ จนถึงปัจจุบัน "คนเราเกิดมาไม่เห็นมีอะไรดี มีดีอยู่อย่างเดียว สวดมนต์ ไหว้พระ ปฏิบัติภาวนา"


หลวงปู่ดู่ท่านมีบุญมาก

ภาพที่มีคนมาปิดทองที่ขาหลวงปู่ดู่
        หลวงตาได้เล่าให้ฟังเรื่องบุญบารมีอันมากล้นของหลวงปู่ดู่ว่า “ในสมัยนั้น แม้หลวงปู่จะอายุกว่า๗o ปีแล้ว แต่ท่านยังมีผิวสีชมพูสวยมาก ใครไปแตะโดนตัวท่านไม่ได้ ท่านมีบุญบารมีบริสุทธิ์มาก แต่พวกเรายังมีกิเลสมาก แตะโดนแล้วตัวท่านจะบวมเลย มีครั้งหนึ่งลูกศิษย์ขอปิดทองบูชาที่ขาท่าน ท่านก็เมตตาให้ปิด แต่พอเช้าวันต่อมาขาท่านบวมทั้งสองข้างเลย ตั้งแต่นั้นมาท่านไม่อนุญาตให้ใครปิดทองตัวท่านอีกเลย” หลวงตาเล่าพลางหัวเราะเบาๆก่อนทิ้งท้ายว่า “ตอนนั้นหลวงตาเองก็เป็นคนหนึ่งที่ไปปิดทองหลวงปู่ด้วย ตอนนั้นเราไม่รู้” ในสมัยที่หลวงปู่ดู่ยังอยู่นั้น หลวงปู่และลูกศิษย์จะช่วยกันสร้างพระทุกวันเพื่อฝึกให้ใจอยู่กับพระเสมอและนำพระไปใช้กำทำสมาธิภาวนา ซึ่งหลวงปู่ได้กล่าวถึงเรื่องพระเครื่องที่คนมักมองว่าเป็นเรื่องงมงายไว้อย่างน่าคิดว่า “ติดวัตถุมงคล ก็ยังดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล” อย่างน้อยดึงให้ใจเขาติดอยู่กับพระเครื่อง ให้เห็นพระทุกวันก็เป็นพุทธานุสติ ใจเขาก็เป็นบุญ ดีกว่าปล่อยให้ใจเขาไปติดอยู่กับเหล้ายากิเลสสิ่งไม่ดีอื่นๆ โดยลูกศิษย์ท่านหนึ่งที่ศึกษาวิธีการสร้างพระเครื่องของหลวงปู่ไว้อย่างครบถ้วน และช่วยท่านสร้างพระมาตลอดในสมัยนั้นก็คือ “หลวงตาม้า” นั่นเอง

***เหตุที่มีการขอปิดทองที่ขาหลวงปู่ดู่ในเวลานั้น ทราบภายหลังจากหลวงตาว่า "หลวงปู่ดู่กับหลวงปู่ทวด ท่านเป็นองค์เดียวกัน นั้นคือเป็นพระโพธิ์สัตว์ที่บารมีเต็มแล้ว และจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตคือ พระศรีอริยเมตไตรย จึงมีลูกศิษย์ผู้ที่ฝึกจับกระแสพลังงานพระโพธิ์สัตว์ได้ทราบถึง จึงขอเมตตาหลวงปู่ปิดทองที่ขา เพื่อขอบูชา พระศรีอริยเมตไตรยในอนาคต"***

ด้านวัตถุมงคล

พระผงจักพรรดิ์เนื้อปูนสีขาว
ตามสูตรหลวงปู่ดู่ ที่หลวงตาม้า
เทแจกในปัจจุบัน
.....ส่วนใหญ่พระที่หลวงตาท่านเน้นสร้าง และเริ่มสร้างเองมาโดยตลอดนั้นคือพระผงสีขาว ซึ่งทำจากปูนขาวมีหลากหลายพิมพ์ตามแต่หลวงตาท่านจะเทแจก โดยจะมีส่วนผสมของ "ผงจักพรรดิ์" ซึ่งหลวงตาเคยเล่าว่า "สมัยก่อนในกุฏิหลวงปู่ดู่ ท่านจะมีกระดานชนวนไว้ลบผง แต่หลวงตาไม่ทราบว่าท่านลบผงอะไร แล้วท่านจะนำผงนั้นไปผสมเป็นมวลสารเทพระไว้แจกสวดมนต์" โดยพระที่หลวงตาท่านสร้างนั้น ส่วนมากจะแจกไว้ให้นำไป "สวดมนต์ภาวนา" เป็นหลักตามสูตรหลวงปู่ดู่ ควบคู่กับบทสวด "พระมหาจักพรรดิ์"


หลวงตาเคยเล่าว่า....ตอนไปปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่ดู่ ท่านจะแจกพระให้คนละองค์พร้อมใบบทสวดมนต์ ซึ่งเป็นบทสวด "ไตรสรณคมค์" เป็นหลัก แต่ต่อมาหลวงตาท่านไปกราบเรียนถามหลวงปู่ว่า "ถ้าผมอยากได้ฤทธิ์ควรทำอย่างไร" หลวงปู่ดู่จึงเมตตามอบบทสวด "พระมหาจักพรรดิ์" นี้ให้หลวงตาไว้สวด หลวงตาท่านจึงสวดควบคู่ไปกับบทไตรสรณคมค์ และนำบทสวดพระมหาจักพรรดิ์นี้ เป็นหลักและเผยแพร่ให้ลูกศิษย์ ลูกหาร่วมกันสวดเป็นประจำในปัจจุบัน....

บทสวดพระคาถามหาจักรพรรดิ


นโม พุทธายะ พระพุทธะไตรรัตนญาณ มณีนพรัตน์

สีสหัสสะสุธรรมา พุทโธ ธัมโม สังโฆ

ยะ-ธา-พุท-โม-นะ พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา

อัคคีทานังวรังคันธัง สีวลี จะ มหาเถรัง อหัง วันทามิ ทูรโต

อหัง วันทามิ ธาตุโย อหัง วันทามิ สัพพโส 

พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ


ขอขอบคุณ อ้างอิงข้อมูลโดย
- บทความโดย ดร.รอบทิศ ไวยสุศรี
แฟนพันธ์แท้ พระเกจิคณาจารย์ ปี 2006