หน้าเว็บ

ประวัติและปฎิปทาหลวงพ่อผจญ อสโม



หลวงพ่อผจญ อสโม 
อดีตประธานสงฆ์วัดป่าสิริปุญญาราม 

บ้านหมากแข้ง ต.หนองงิ้ว อ.วังสะพุง จ.เลย








หลวงปู่ชอบ
ประวัติย่อ หลวงพ่อผจญ อสโม
เรียบเรียงโดย อดีตครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท

        หลวงพ่อผจญ อสโม ท่านเกิดที่บ้านหนองแก ต.ขัวเรียง อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น อุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๐๘ โดยมี ท่านพระครูเขมาภาพิสุทธิ์ (หลวงปู่หลี) วัดประสิทธิ์ไพศาล อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น เป็นพระอุปัชฌาย์

หลังจากอุปสมบทแล้วหลวงพ่อผจญท่านได้ติดตาม หลวงพ่อดาด สิริปัญโญ มาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ศึกษาธรรมกับ " พระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ ฐานสโม " ที่ วัดป่าสัมมานุสรณ์ บ.โคกมน ต.ผาน้อย อ.วังสะพุง จ.เลย..

หลวงพ่อผจญท่านเล่าเรื่องตอนท่านมาอยู่ศึกธรรมกับองค์ท่านหลวงชอบให้ฟังว่า " ตอนนั้นผมก็บวชมาใหม่ๆยังไม่ได้พรรษา พรรษาแรกที่บวชก็เข้ามาอยู่กับหลวงปู่ชอบ หลวงปู่ชอบสมัยนั้นท่านยังเดินได้ ท่านจะดุกับลูกศิษย์มาก ใครคิดอะไรนอกลู่นอกทางท่านจะรู้ทั้งหมด ขนาดคิดในใจของตนเองอยู่กุฏิ พอเข้ามาสรงน้ำทำข้อวัตรกับท่าน หลวงปู่ชอบท่านจะว่าให้ทำไมถึงต้องไปคิดในเรื่องนี้ๆ ทุกคำในความคิดของเราท่านจะว่าออกมาทั้งหมด จนผมนี้กลัวในความคิดของตนเอง ไม่กล้าคิดปรุงแต่งออกนอกทางกลัวหลวงปู่ชอบท่านจะว่าให้ "..

" ผมมีสติอยู่กับจิตก็เพราะหลวงปู่ชอบท่านกำหราบตั้งแต่อยู่กับท่านที่บ้านโคกมน อยู่กับหลวงปู่ชอบ
หลวงพ่อดาด
ต้องระวังเรื่องความคิดไว้ให้มากๆ ขนาดนั่งอยู่กับท่านต่อหน้า พอเผลอสติออกนอกทางแว่บเดียวเท่านั้น หลวงปู่ชอบท่านจะทักขึ้นมาเลย เฮ้ยโบ้ย.(เฮ้ยไอ้หนู)
อย่าคิดเรื่อง....มันไม่ดี เป็นพระเป็นเณรต้องมีสติกำกับอยู่ทุกลมหายใจ แต่ละวันให้อยู่กับธรรม อย่าอยู่กับกิเลสมากจนเกินไปมันจะทำให้จิตใจเราจะหมัวหมอง ให้เร่งพุทโธน่ำๆเข้าไปตี้(ให้เร่งพุทโธหนักเข้าไปสิ) จิตใจจะได้เบิกบานบ่เศร้าหมอง "..

" ตอนมาอยู่กับหลวงปู่ชอบใหม่ๆ ผมก็ยังบวชใหม่ไม่รู้ธรรมเนียมของท่าน ผมตอกไม้เกีย(ไม้สีฟัน)จะเอาไปถวายท่าน คิดว่ากุฏิเราอยู่ใกลกับท่าน จึงนั่งตอกไม้เกียดังเป๊กๆอยู่จนบ่าย พอไปสรงน้ำท่าน หลวงปู่ชอบท่านถาม ผจญ ท่านตอกไม้เสียงดังรบกวนการปฏิบัติของหมู่คณะ รบกวนการปฏิบัติของเรา ท่านไม่เห็นใจเมตตาครูบาอาจารย์กับหมู่คณะบ้างหรือ ทำอะไรให้พิจารณาบ้าง อย่าทำตามความสะดวกของตัวเองมากนัก "

" ผมละอายแก่ใจตนเองมาก เราก็ลืมไปว่าตอนนั้นครูบาอาจารย์กับหมู่คณะท่านทำความเพียรกันอยู่ พอหลวงปู่ชอบท่านว่าให้แบบนี้ วันหลังตัวเองก็หอบเอาไม้เกียไปตอกอยู่ทางเข้าวัดหลังโรงเรียนบ้านโคกมน "..
"

ตอกไม้เกียก็กลัวมันเสียงดังไปรบกวนธรรมของหมู่คณะ กลัวที่สุดมันจะไปรบกวนธรรมของพ่อแม่ครูอาจารย์ชอบ ไม่กล้าเอาไม้เกียมารองพื้นตอกกลัวมันเสียงดัง ผมเอาผ้าอาบน้ำฝนมารองที่ต้นขาเพื่อซับเสียงเวลาตอกไม้เกีย นั่งตอกไม้เกียจนครบ ๑๐๐ อัน ตามที่ตนเองตั้งใจจะเอาไปถวายหลวงปู่ชอบ กว่าจะตอกไม้เกียเสร็จต้นขาทั้งสองข้างของผมจนห้อเลือดปวดไปหมด เดินกลับเข้าวัดจนขากะเผลก "..

" เอาไม้เกียไปถวายหลวงปู่ชอบ หลวงปู่ท่านบอก ตอกไม้เกียจนเจ็บขานะท่าน คนอื่นเขาตอกไม้เกียยังไม่เจ็บขาเหมือนท่าน เอ้า..เอายาหม่องไปทาขาตัวเอง ท่านยื่นยาหม่องให้เอามาทาขาตนเองที่เจ็บอยู่ในตอนนั้น ผมดีใจซาบซึ้งในเมตตาของครูบาอาจารย์ที่ท่านรู้ว่าเราเป็นอะไร ตอนนั้นผมตั้งใจว่าถวายไม้เกียหลวงปู่ชอบแล้วจะไปขอยาหม่องกับอาจารย์ดาดมาทาขาตนเอง หลวงปู่ท่านรู้ก่อนท่านจึงเอาให้ ผมก็เลยไม่ไปขอยาหม่องกับอาจารย์ดาด เอายาหม่องหลวงปู่ชอบทาขาของตนเองจนหาย โห้..หลวงปู่ชอบท่านไม่ธรรมดา อุตส่าห์หลบท่านออกไปตอกไม้เกียอยู่นอกวัดแล้วหลวงปู่ท่านยังตามไปรู้อีก



หลวงปู่บัวคำ มหาวีโร
พอออกพรรษาปี ๒๕๐๘ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ท่านพาลูกศิษย์ออกเที่ยววิเวกเขตอำเภอภูเรือ จังหวัดเลย โดยมีจุดหมายทางที่ วัดป่าม่วงไข่ บ้านม่วงไข่ ตำบลสานตม อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย หลวงปู่ชอบท่านจะพาพระตามไปสมทบกับ หลวงพ่อบัวคำ มหาวีโร ที่วัดป่าม่วงไข่ ซึ่งในตอนนั้นหลวงพ่อบัวคำท่านกำลังเร่งสร้างศาลาวัดป่าม่วงไข่..

องค์ท่านหลวงปู่ชอบให้พระแปดองค์และตาผ้าขาวเกตุ(หลวงปู่เกตุ)ติดตามท่านไปเที่ยววิเวกที่ภูเรือ หลวงพ่อผจญท่านเป็นหนึ่งในพระแปดรูปที่ติดตามองค์ท่านหลวงไปเที่ยววิเวกในครั้งนั้น และเป็นครั้งแรกที่หลวงพ่อผจญท่านออกเที่ยววิเวกโดยมีองค์ท่านหลวงปู่ชอบเป็นผู้ฝึกให้..

หลวงพ่อผจญท่านเล่าเรื่องเที่ยววิเวกครั้งแรกของท่านให้ฟังว่า การเที่ยววิเวกกับหลวงปู่ชอบนี้สมบุกสมบันทุกข์ยาก และเหนื่อยมาก ไปกับหลวงปู่ชอบถ้าท่านไม่พาหยุด ก็จะหยุดพักกันเองไม่ได้ หลวงปู่ชอบท่านเดินเร็วมาก ขนาดเราเป็นพระหนุ่มยังเดินจ้ำอ้าวตามหลังท่านแทบจะไม่ทัน เวลาเดินหลวงปู่ชอบท่านจะไม่ให้คุยกัน ท่านให้เดินภาวนาไปด้วย ให้เดินกำหนดจิตภาวนาเหมือนกับเดินจงกรมอยู่วัด ท่านบอกมันถึงจะไม่เหนื่อยมาก..

หลวงปู่ชอบท่านพาเดินออกจากบ้านโคกมนรวดเดียวสิบกว่ากิโลโดยไม่พาแวะพักข้างทางที่ไหน ผมเหนื่อยมากขาจนขาสองข้างล้าไปหมด เดินแบกบาตรบริขาร ยิ่งเดินไกลเท่าไหร่ บริขารยิ่งหนักขึ้นไปเรื่อยๆ นึกในใจว่าเมื่อไหร่ท่านจะพาหยุดพักซักที นึกท้อในใจของตัวเองมากเข้าหลายครั้งหลวงปู่ชอบท่านหันมาว่าให้..

"
หลวงพ่อผจญ ในพรรษาแรกๆ
ใหญ่บ่ถูกทหาร เป็นพระหนุ่มพระน้อยแท้ๆ ทำไมอ่อนแอจัง เราแก่กว่าพวกท่านอีกเรายังไม่ท้อไม่ถอย อยู่กับเราอย่ามาแสดงความท้อแท้ให้เราเห็นนะ ไป๊..เดินนำหน้าเราไป๊ "..

" โหย..เดินนำหน้าหลวงปู่ชอบยิ่งหนักกว่าเดิมอีก หลวงปู่ท่านเดินเร็วไล่หลังมา เราก็เร่งเดินให้เร็วขึ้นกว่าเดิม พอเดินผ่อนช้าลงท่านก็เอาไม้เท้าแทงจี้หลังให้เดินเร็วๆ "..

" โอ๊ย..นึกสมน้ำตัวเอง เราไม่น่านึกท้อขึ้นมาเลย พอครูบาอาจารย์ท่านจับจิตเราได้ ท่านยิ่งทรมานกิเลสของเราหนักขึ้นกว่าเดิมอีก จื่อบ้อบาดนี้กิเลส(จำมั๊ยหล่ะกิเลสคราวนี้) หาเหตุให้ตัวเองถูกครูบาอาจารย์ท่านทรมานกิลสจนได้ " ว่าจบหลวงพ่อผจญท่านก็หัวเราะขำขันตัวเองขึ้นมา ก็เลยพลอยขำไปกับท่าน ดูแววตาเวลาท่านเล่าเรื่องตนเองตอนอยู่ปฏิบัติกับองค์ท่านหลวงปู่ชอบ แววตาของหลวงพ่อผจญท่านดูสดใสมาก..

หลวงปู่ชอบท่านพาหลวงพ่อผจญและลูกศิษย์ท่านอื่นๆแวะที่ วัดศรี
หลวงปู่เฉย สุภัทโธ
สันตยาราม บ้านปากปวน ตำบลปากปวน อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย เดินทางถึงที่นี่ราวบ่ายสาม หลวงปู่ชอบท่านแวะเยี่ยม
หลวงปู่เฉย สุภัทโธ และพักฉันน้ำร้อนกันอยู่ที่นี่..

หลวงพ่อผจญท่านว่า ดีใจหลายหลวงปู่ชอบท่านพาแวะพักแล้ว ได้ฉันน้ำร้อนใส่กับงบน้ำอ้อยรู้สึกโล่งเบามีแรงขึ้นมา ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าพลอยบรรเทาเบาบางลงไปเป็นอย่างมาก ร่างกายเกิดความกระปี้กระเป่าสดชื่นขึ้นมาอย่างทันตาเห็น..

ท่านนั่งดูบ่าทั้งสองข้างของตนเอง ลองเอามือลูบจับดู รู้สึกเจ็บแสบแปล่บๆขึ้นมาในเวลาที่มือสัมผัสกับบ่า บ่าทั้งสองข้างของท่านห้อเลือด หนังกรำพร้าลอกออกจนใกล้จะแตกเนื่องจากถูกแรงกดทับของถุงบริขาร..

ท่านว่าเจ็บบ่าทั้งสองข้างมาก นึกถึงตอนตนเองยังไม่ได้บวช ทำไร่ทำนากับพ่อแม่ว่าหนักแล้ว แต่ถึงจะหนักยังไงพอเหนื่อยมาก็หยุดพักเองได้ตามใจชอบ พ่อแม่ก็ไม่ว่าอะไร แต่พอบวชมาอยู่ปฏิบัติกับหลวงปู่ชอบ ท่านว่าหนักไปกว่านั้น เพราะถูกหลวงปู่ชอบท่านเคี่ยวเข็ญอย่างหนักทั้งกายและใจจนทำให้ท่านคิดถึงบ้าน..

ท่านว่า “ บางคนเขาก็ถามผม อาจารย์ได้เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ชอบคือสิบุญหลายสายยาวเน๊าะ คือสิสบายแท้เน๊าะ "..




เราอยากให้ผู้ที่ถามนั้นได้ลองมาเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ชอบดู แล้วจะรู้ซึ้งเอง บุญหลายสายยาวได้เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ชอบ อันนี้เราไม่ปฏิเสธ เกิดมาเป็นล้านๆชาติ ก็มีชาตินี้แหละที่ผมมีวาสนามากที่สุด ถ้าไม่มีหลวงปู่ชอบท่านฝึกหัดหลักจิตหลักใจให้ในเบื้องต้น ป่านนี้ผมคงจะเป็นคนเหยาะแหยะ หรือไม่ก็คงได้สึกออกไปเป็นอ้ายทิดแล้ว ”..


“ ได้หลักจิตหลักใจ ได้ความมานะอดทนจากหลวงปู่ชอบไป พอไปอยู่กับครูบาอาจารย์องค์ไหนก็ทนได้หมด ก็อาศัยฝึกฝนตนเองกับครูบาอาจารย์องค์อื่นๆสืบกำลังวังชา เสริมสติปัญญาของตนเองต่อไป เบ้าหลอมที่สำคัญเบื้องต้นของพระเณรคือการได้อยู่ฝึกฝนกับครูบาอาจารย์ที่ท่านรู้ธรรมจริง หากปฏิบัติเอาจริงๆ พระเณรองค์นั้นก็จะรู้ธรรมจริงได้เหมือนกัน ”..

“ รุ่นพวกผมมันลำบากกว่ารุ่นของพวกท่านมาก รุ่นพวกผมสบายที่สุดคือเรื่องทางจิตใจ ติดขัดเรื่องใดในการปฏิบัติหลวงปู่ท่านแก้ให้ทั้งหมด และแก้ไขให้ในทันที รุ่นพวกผมอยู่กับหลวงปู่ชอบสมัยนั้น ทางกายนี้ลำบากมาก หลวงปู่ชอบท่านพานั่งภาวนาวันละเจ็ดแปดชั่วโดยที่ไม่ให้ลุกออกจากที่นั่ง นั่งกันจนก้นแตกก้นพองไปข้างหนึ่งเลย พระเณรบางองค์ทนต่อเวทนาไม่ได้ร้องให้ออกมาก็มี ยิ่งแสดงความอ่อนแอออกมาให้ท่านเห็น หลวงปู่ชอบท่านยิ่งจะจับให้นั่งสมาธินานๆ "..

" ถ้าไม่รักดีทนไม่ได้ หลวงปู่ชอบท่านจะไล่ออกจากวัดท่านไปเลย คนไม่มีความอดทนหลวงปู่ท่านจะไม่รับไว้เป็นลูกศิษย์ ท่านบอกเสียเวลาที่จะสอนคนอื่น ”..

“ สมัยนั้นหลวงปู่ชอบท่านยังเดินได้ ร่างกายของท่านยังแข็งแรง ท่านจึงเคี่ยวเข็ญลูกศิษย์รุ่นพวกผม และรุ่นพี่อย่างหนักทั้งทางด้านจิตใจและร่างกาย ท่านว่าให้เลยนะ เราฝึกพวกท่านขึ้นมาเพื่อหวังให้สืบทอดพระศาสนา เราฝึกพวกท่านขึ้นมาเพื่อให้เป็นครูบาอาจารย์แทนเราในอนาคต ต่อไปพวกท่านจะได้เป็นขุนศึกทหารเสือทางธรรมของเราในอนาคต รุ่นพวกเราจึงเป็นรุ่นทหารเสือทายาทธรรมของท่าน ”



หลวงพ่อผจญกับหมู่เพื่อนคิดว่าองค์ท่านหลวงปู่ชอบจะพาพักค้างคืนกับ หลวงปู่เฉย สุภัทโท ที่วัดศรีสันตยาราม พอฉันน้ำร้อนกันคนละแก้วแล้วหลวงปู่ชอบท่านบอกให้เตรียมตัวเดินทาง พักเอาแรงแค่นี้ก็พอรีบพากันเดินทางต่อ อย่าพากันมัวอ้อแอ้เสียเวลา ให้มันเมื่อยทีเดียวพอ ข้ามวันข้ามคืนไปร่างกายมันจะระบมทำให้เราขี้เกียจท้อแท้มากไปกว่านี้ได้..

หลวงพ่อผจญท่านถึงกับว่า พวกผมหลงดีใจว่าหลวงปู่ชอบท่านจะพักอยู่ที่นี่ พอท่านบอกว่าไปต่อผมกับหมู่เพื่อนได้แต่มองหน้ากันหล่อกแหล่ก เข้าไปกราบลาหลวงปู่เฉยแล้วเดินทางต่อ..



พากันเดินมาทางบ้านหนองบงทะลุออกผาบ่าวผาสาว ถึงนี่ก็มืดแล้วมืดแล้วหลวงปู่ท่านก็ยังไม่ให้จุดโคมหรือไฟฉาย ท่านให้เดินด้วยความมีสติระมัดระวังตัว หากไม่แน่ใจสงสัยในสิ่งใดค่อยเปิดไฟฉายดู เปิดไฟฉายขึ้นมาดูก็ดูได้พอแว่บๆเท่านั้นนะ เปิดแช่ไว้ตลอดไม่ได้หลวงปู่ท่านจะว่าให้..

ทางสมัยก่อนก็แคบๆไม่ได้ลาดยางเหมือนกับสมัยนี้ เป็นทางลูกรังทางฝุ่นทางดินธรรมดา พากันเดินผ่านไปทางบ้านไหน หมาบ้านนั้นก็พากันเห่าเสียงดังแซวๆ เดินมาถึงบ้านกกบกตีนภูแปกพุ่นน่ะหลวงปู่ท่านจึงให้จุดโคมไฟเดินทาง มันมืดมาก สมัยนั้นป่าไม้มันยังดี ร่มไม้ใหญ่มันบังแสงเดือนแสงดาวทำให้มองเห็นทางไม่ถนัด..

ราวสามทุ่มกว่าหลวงปู่ชอบท่านพาเข้ามาพักที่บ้านกกกอก เข้ามาวัดบ้านกกกอก(วัดป่าปริตรบรรพต) ก็ไม่เห็นพระเณรอยู่ในวัดท่านออกเที่ยววิเวกกันไปหมด หลวงปู่ท่านสั่งให้พักเอาแรงก่อน หลวงปู่เกตุตอนนั้นท่านยังเป็นตาผ้าขาวอยู่ ท่านไปเอาหม้อในวัดมาก่อไฟต้มน้ำร้อนเพื่อที่จะสรงน้ำหลวงปู่ชอบ หลวงปู่ท่านบอกผม ผจญไปกรองเอาน้ำในห้วยมาให้เราล้างแข้งล้างขาหน่อยซิ..

ตอนนั้นผมก็ยังไม่เคยมาบ้านกกกอกซักครั้ง พึ่งจะมาเป็นครั้งแรก มาครั้งแรกก็เป็นเวลากลางคืน มืดหน้าตามัวหลงทิศหลงทางไม่รู้จะไปกรองเอาน้ำอยู่ที่ไหน ก็เลยกราบเรียนท่าน พ่อแม่ครูจารย์จะให้กระผมไปกรองเอาน้ำอยู่ที่ไหนขอรับ..

หลวงปู่ชอบท่านว่าให้ หูท่านไม่ได้ยินเสียงกบเสียงเขียดร้องหรือ กบเขียดมันร้องรับกันอยู่ที่ไหน ที่นั่นจะมีน้ำ อยู่บ้านบ่เคยทำไร่ทำนาหรือยังไงถึงไม่รู้จักเสียงกบเสียงเขียด มันไม่หัดสังเกตฟังเสียงธรรมชาติบ้างหรือไง..

เออ..หลวงปู่ท่านก็ว่าถูก เราก็ลูกชาวไร่ชาวนาเหมือนกันกับท่าน

ทำไมเราถึงลืมนึกถึงธรรมชาติเรื่องนี้ไปได้ นี่แหละครูบาอาจารย์ ท่านเกิดก่อนเราจึงรู้ก่อนเรา ท่านจึงลึกซึ้งในความรู้มากกว่าพวกเราที่เป็นลูกศิษย์..

ผมกำลังจะเดินไปทางเสียงกบเสียงเขียด หลวงปู่ชอบท่านบอก เฮ้ย..โบ๊ย อย่าเพลินฟังเสียงกบเสียงเขียดอย่างเดียวเด้อ ที่ไหนมีกบมีเขียดที่นั่นจะมีงูอยู่ด้วยเด้อ ระวังงูเงี้ยวเขี้ยวขอบ้างเด้อ..

กรองน้ำได้สองถังแล้วก็ล้างหน้าล้างตัวเอง เหลือบไปเห็นงูเห่าตัวเท่ากระบอกไฟฉายมันกำลังเลื้อยมาทางผม เห็นท่าไม่ดีก็เลยรีบหิ้วถังน้ำเอามาให้หลวงปู่..

หลวงปู่ท่านก็ล้างหน้าตาแข้งขาของท่าน เสร็จแล้วท่านก็บอกให้พากันไหว้พระสวดมนต์ ไหว้พระสวดมนต์เสร็จแล้วท่านบอกเดินทางต่อคืนนี้ต้องไปให้ถึงบ้านม่วงไข่ ได้ยินท่านสั่งให้เดินทางต่อหมู่คณะใจห่อเหี่ยวหมด มันเหนื่อยกันเต็มที่แล้วในตอนนั้น แต่ไม่มีพระองค์ใดค้านในคำสั่งของท่าน ผมนี้เหนื่อยมากจนหมดแรงข้าวต้ม ถ้าหลวงปู่ท่านพาเดินทางต่อไปอีกคิดว่าตัวเองอาจจะเป็นลมได้ แค่มาถึงบ้านกกกอกก็ลมออกหูแล้ว..

ผ้าขาวพ่อเกตุ(หลวงปู่เกตุ)ท่านว่า พ่อแม่ครูอาจารย์จะไปทางไหนอีก นี่มันก็ดึกดื่นแล้ว ครูบาแต่ละองค์ท่านก็อ่อนแรงแบกบาตรแบกกลดกันไม่ไหวแล้ว พักเซาเอาแรงกันก่อนได้ไหมขอรับ..



หลวงปู่ท่านก็ว่าให้ พวกนี่มันใช้แต่เท้าเดินทาง มันไม่หัดใช้ฌานใน
การเดินทาง เอาแต่เท้าเดินทางมันก็เหนื่อยมากซิ เอาฌานเดินทางมันถึงไม่เหนื่อย ครูบาอาจารย์บอกสอนมันก็พากันขี้เกียจทำ..
ผ้าขาวเกตุท่านว่า เอ้ากะลูกศิษย์มีแต่เท้าบ่มีฌานเหมือนครูบาอาจารย์นี่ขอรับ หลวงปู่ท่านหัวเราะ ท่านเลยอนุญาตให้พักอยู่บ้านกกกอก ท่านว่า เอ้าถ้ามันเมื่อยจนใจจะขาดตายก็พักกันซ่ะ ได้ยินหลวงปู่ว่ามาแบบนี้โล่งใจเลย ถ้าบ่มีหลวงปู่เกตุขอไว้ป่านนี้มีพระเป็นลมแน่ๆ มีหลวงปู่เกตุเท่านั้นที่จะขอหลวงปู่ได้ พวกครูบาก็เลยได้ประโยชน์ไปด้วย..

คืนนั้นนอนไม่ได้มันเจ็บระบมไปหมดทั้งตัวจนเป็นไข้ บ่าทั้งสองข้างแตกแค่ขยับตัวผ้าอังสะเสียดสีกับบ่าก็แสบแปลบๆ นอนไม่ได้ก็นั่งภาวนาเอา พิจารณาจากร่างกายของตนเองที่มันเจ็บระบม นึกถึงหลวงปู่ตอนท่านเป็นพระหนุ่มท่านก็เคยบ่าแตกเพราะแบกบริขารเที่ยววิเวกเหมือนกัน ครูบาอาจารย์ท่านยิ่งโหดยิ่งหนักกว่าเราอีกท่านยังผ่านมาได้ เราแค่บทเรียนแรกก็ออกอาการท้อแล้ว ด่าตัวเองมันขี้แหล่ป่านนี้หรือเรา ครูบาอาจารย์ท่านผ่านได้เราก็ต้องผ่านได้เหมือนกันสิ ท่านก็คนเราก็คนกินข้าวเหมือนกันกับท่าน เราต้องทำให้ได้เหมือนท่าน ใจตัวเองก็เลยฮึดสู้ขึ้นมาไม่ยอมอ่อนแอท้อแท้เรื่องแค่นี้..

ฉันข้าวแล้วหลวงปู่ท่านพาออกจากบ้านกกกอกเดินทางมาบ้านม่วงไข่ อยู่บ้านม่วงไข่ประมาณเดือนหนึ่งหลวงปู่ชอบท่านจะออกเที่ยววิเวกขึ้นไปเชียงใหม่ หลวงปู่ท่านบอกผม ผจญ..เราจะขึ้นไปเที่ยววิเวกทางเมืองเหนือ เราไม่อยู่แล้วให้ท่านไปปฏิบัติกับอาจารย์คำดี(หลวงปู่คำดี ปภาโส)อยู่ถ้ำผาปู่ก่อนนะ ท่านสะดวกไปตอนไหนก็ไปตอนนั้นเลยเราอนุญาตท่านแล้ว..

พอหลวงปู่ชอบท่านขึ้นไปเหนือได้ไม่นานผมก็เข้าไปขอปฏิบัติกับหลวงปู่คำดีอยู่ที่วัดถ้ำผาปู่ จำพรรษากับท่านอยู่ที่นี่ ได้ไปรู้จักกับ
หลวงพ่อผจญ หลวงพ่อขันตี
ระอาจารย์ขันตี ญาณวโร อยู่ที่นี่ ช่วงนั้นก็เข้าออกหลวงปู่ชอบกับหลวงปู่คำดีสลับไปสลับมา พอพรรษาได้สามสี่พรรษาก็ไปอยู่กับ หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ บ้าง หลวงปู่ขาว อนาลโย บ้าง หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน บ้าง..

หมู่เพื่อนก็ชวนให้ไปปฏิบัติกับ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ก็ไปกับเขา อยู่กับหลวงปู่ฝั้นแล้วก็กลับมาหาหลวงปู่ชอบที่บ้านโคกมน ได้เจอกันกับ พระอาจารย์มงคล สิริมังคโล(วัดป่าโป่งกระทิงบน จ.ราชบุรี) อยู่บ้านโคกมน หลวงพ่อบัวคำ มหาวีโร ท่านบอกให้ไปเที่ยววิเวกทางราชบุรีดู ท่านว่าป่าเขาทางนั้นเหมาะสมในการปฏิบัติเหมือนกับทางเมืองเลย ให้ไปปฏิบัติกับ หลวงปู่มหาปิ่น ชลิโต วัดอริยะวงศาราม จ.ราชบุรี ดูบ้างซิ ก็เลยชวนกันกับอาจารย์มงคลไปเที่ยววิเวกทางราชบุรี..

ออกจากราชบุรีหลวงพ่อผจญท่านขึ้นไปเที่ยววิเวกทางภาคเหนือเขตจังหวัดเชียงใหม่ และเชียงราย ท่านไปพักปฏิบัติอยู่กับ หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง และไปจำพรรษากับ หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม ที่ วัดป่าอาจารย์ตื้อ อำเภอแม่แตง จ.เชียงใหม่..

หลวงพ่อผจญท่านว่า หลวงปู่ตื้อท่านมีความรู้ภายในพิสดารรวดเร็ว
หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม
เหมือนกับหลวงปู่ชอบ ต่างแต่คำพูดคำจากิริยาภายนอกเท่านั้นที่องค์ท่านทั้งสองจะแตกต่างกัน หลวงปู่ชอบท่านพูดน้อยแต่เจ็บ หลวงปู่ตื้อท่านพูดเจ็บแต่หนักหน่วง..


ระหว่างที่หลวงพ่อผจญท่านเที่ยววิเวกและจำพรรษาอยู่ทางภาคเหนือ ท่านได้เที่ยววิเวกและขอพักอาศัยปฏิบัติกับครูบาอาจารย์รุ่นพี่หลายท่าน อาทิเช่น หลวงปู่ขาน ฐานวโร วัดป่าบ้านเหล่า จ.เชียงราย (พักปฏิบัติ) หลวงพ่อเปลี่ยน ปัญญาปทีโป วัดอรัญญวิเวก จ.เชียงใหม่ (พักปฏิบัติ) หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร วัดป่าหมู่ใหม่ จ.เชียงใหม่ (พักปฏิบัติร่วมกันที่อื่น)..

โดยเฉพาะ หลวงปู่ขาน ฐานวโร วัดป่าบ้านเหล่า จ.เชียงราย องค์
หลวงปู่ขาน ฐานสโร
ท่านหลวงปู่ขานจะเมตตาหลวงพ่อผจญเป็นอย่างมาก แม้เพียงพบเจอกันได้ไม่นานท่านทั้งสองก็มีความสนิทสนมกัน เนื่องจากในอดีตชาติที่ผ่านมาหลวงปู่ขานท่านเคยเกิดเป็นพี่ชายของหลวงพ่อผจญ พอมาพบเจอกันในชาติปัจจุบันท่านทั้งจึงมีความรักและเมตตาต่อกันเพราะสัญญาจากบุพเพในชาติอดีต..


องค์ท่านหลวงปู่ขานท่านกล่าวยกย่องหลวงพ่อผจญว่า ท่านผจญตั้งแต่เป็นพระหนุ่มไม่กี่พรรษา จิตของท่านก็เริ่มใสงามแล้วนะ อยู่ด้วยกันไม่ว่ากลางวันกลางคืน เวลาเราส่งจิตออกไปดูท่านผจญ จิตท่านผจญจะเป็นแก้ววงใสอยู่อย่างนั้นทั้งกลางวันกลางคืน เราถึงรู้ว่าจิตของท่านผจญผ่านจุดเสื่อมของโลกียะไปได้แล้ว เหลือแต่ชั้นอื่นๆที่ท่านจะต้องปฏิบัติต่อไป..

ถามท่านผจญ จิตท่านทำไมเป็นวงใสอยู่ตลอด ท่านผจญเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนไม่อวดอ้างคุยโว ท่านก็ตอบเลี่ยงๆ ข้าน้อยไม่ได้ส่งจิตออกไปรบกวนใครๆ..

หลังจากลงมาจากภาคเหนือหลวงพ่อผจญท่านเข้ามาพักปฏิบัติกับองค์ท่านหลวงปู่ชอบที่วัดป่าสัมมานุสรณ์บ้านโคกมน องค์ท่านหลวงปู่ชอบถามถึงเรื่องการปฏิบัติทางด้านจิตภาวนาของท่าน หลวงพ่อผจญกราบเรียนถึงเรื่องการปฏิบัติภายในของท่านให้หลวงปู่ชอบฟัง..

องค์ท่านหลวงปู่ชอบบอกท่านว่า ผจญ..จากนี้ไปเราก็ไม่ห่วงท่านแล้ว ท่านมีหลักใจเป็นของตนเองสามารถคุ้มครองหมู่คณะลูกศิษย์ได้แล้ว
หลวงปู่คำดี ปภาโส
ให้ท่านไปอยู่ช่วยงานอาจารย์คำดีที่ถ้ำผาปู่
(หลวงปู่คำดี ปภาโส วัดถ้ำผาปู่ จ.เลย) ต่อไปทางนั้นจะมีพระเณรมาก ตอนนี้ก็มีแต่ท่านสีทน (หลวงพ่อสีทน สีลธโน) เป็นมือเป็นเท้าให้อาจารย์คำดี ท่านไปอยู่ช่วยที่นั่นจะได้ประโยชน์หลายทางกว่าอยู่กับเรา..

หลวงพ่อผจญท่านจึงกราบลาองค์ท่านหลวงปู่ชอบมาปฏิบัติอยู่กับองค์ท่านหลวงปู่คำดีที่วัดถ้ำผาปู่เป็นหลัก พอว่างเว้นท่านก็จะออกเที่ยววิเวกในเขตจังหวัดเลยและเขตจังหวัดเพชรบูรณ์ หรือกลับมาปฏิบัติกับหลวงปู่ชอบ หรือ หลวงปู่หลุย จันทสาโร วัดถ้ำผาบิ้ง อ.วังสะพุง จ.เลย และ หลวงปู่ซามา อาจุตฺโต วัดป่าอัมพวัน อ.เมือง จ.เลย เป็นต้น..

ปี ๒๕๑๘ หลวงพ่อผจญท่านมาเที่ยววิเวกที่บ้านหมากแข้ง-กกกอก ท่านเข้ามาขออยู่ปฏิบัติกับหลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร ที่วัดสิริปุญญาราม (หลวงปู่มหาบุญมี วัดป่าวังเลิง ต.ท่าขอนยาง อ.กันทรวิชัย
หลวงปู่มหาบุญมี
จ.มหาสารคาม)
ท่านเห็นวัตรปฏิบัติของหลวงปู่มาบุญมีน่าเคารพเลื่อมใส หลวงพ่อผจญท่านจึงขอจำพรรษากับหลวงปู่มหาบุญมีที่วัดสิริปุญญาราม ออกพรรษาท่านก็กลับไปอยู่ที่ถ้ำผาปู่กับหลวงปู่คำดี..

        ต่อมาหลวงปู่มหาบุญมีท่านไปจำพรรษาอยู่ทางจังหวัดอุดรธานี หลวงพ่อจันทร์เรียน คุณวโร (วัดถ้ำสหายจันทร์นิมิต จ.อุดรธานี) พาหลวงพ่อผจญและหลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ (วัดป่าเวฬุวนาราม จ.เลย) มาเที่ยววิเวกที่บ้านหมากแข้งเข้าพักปฏิบัติกันอยู่ที่วัดสิริปุญญาราม หลวงพ่อจันทร์เรียนบอกหลวงพ่อผจญว่า ท่านผจญอยู่ที่นี่แหละ ที่นี่เหมาสมกับท่านที่สุด ต่อไปท่านจะได้ดูแลรอยมือรอยเท้าครูบาอาจารย์ทั้งบ้านหมากแข้งทั้งบ้านกกกอก หลวงพ่อจันทร์เรียนท่านก็พาหลวงพ่อสมศรีเที่ยววิเวกไปทางภูเรือ..




พระอาจารย์จันทร์เรียน
   หลวงพ่อผจญ “อาจารย์จันทร์เรียนท่านบอกให้อยู่ พาอาจารย์สมศรี ออกเที่ยววิเวกไปทางภูเรือ เราก็อยู่อย่างลำบาก ที่นี่สมัยก่อนกันดารทางอาหารการกิน ชาวบ้านเขาก็อยากจนอดๆอยากๆอยู่แล้ว ฉันข้าวกับอ่อมบักหอยยัดเข้าเบื่ออยู่ตั้งหลายปี สมัยก่อนอยู่ที่นี่ทุกข์มาก กาแฟน้ำตาลก็หาฉันยาก หลักๆก็ฉันน้ำต้มยาหัวเท่านั้น ถ้าช่วงไหนหลวงปู่ชอบหรือหลวงพ่อบัวคำมาเยี่ยมก็พอจะได้ฉันกาแฟน้ำอ้อยน้ำตาลบ้าง น้ำแข็งน้ำก้อนเป็นปีก็ไม่ได้เห็นกับเขาถ้าบ่เข้าไปในเมือง”



ตั้งแต่หลวงพ่อผจญท่านมาจำพรรษาที่ วัดสิริปุญญาราม บ้านหมากแข้ง ตำบลหนองงิ้ว อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ท่านก็พักอยู่ที่นี่เป็นประจำ เป็นบางปีที่ท่านไปจำพรรษาที่ประเทศสหรัฐอเมริกาที่ วัดพุทธรัตนาราม เมืองเคลเลอร์ รัฐเท๊กซัส เพื่อสร้างโบสถ์วัดพุทธรัตนารามหลังจากที่องค์ท่านหลวงปู่ชอบได้วางศิลาฤกษ์ไว้..

หลังจากกลับจากสหรัฐอเมริกาสุขภาพธาตุขันธ์ของท่านเริ่มจะไม่
แข็งแรง ท่านมากราบเยี่ยมองค์ท่านหลวงปู่ชอบที่วัดป่าโคกมน สังเกตดูเวลาที่ท่านพนมมือพูดกับองค์ท่านหลวงปู่ชอบ มือของหลวงพ่อผจญจะสั่นผิดปรกติ ผู้เขียนเรียนถามท่านว่า อาจารย์เป็นอะไรไม่สบายหรือไงทำไมมือสั่นจัง ท่านบอก เร่งสร้างโบสถ์ให้เสร็จทันตามกำหนด ทำงานหนักตลอด อยู่ที่นั่นฉันแต่ของมันๆ ไขมันขึ้นสูงอุดตันเส้นเลือด หัวใจก็เต้นผิดปรกติ..

องค์ท่านหลวงปู่ชอบบอกให้หลวงพ่อผจญพักฟื้นร่างกาย และให้ท่านยุติการทำงานหนักทุกอย่าง..

หลังจากองค์ท่านหลวงปู่ชอบละขันธ์ ลูกศิษย์ขององค์ท่านหลวงปู่ชอบในเมืองเลยเกิดความว้าเหว่ทางด้านจิตใจไร้ที่พึ่ง เมื่อไม่มีหลวงปู่ท่านอยู่ด้วยญาติธรรมแต่ละคนจึงมุ่งเข้าไปหา " สามทายาทธรรมเมืองเลย " ของพระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ ฐานสโม คือ..

หลวงพ่อขันตี ญาณวโร วัดป่าม่วงไข่ อ.ภูเรือ หลวงพ่อผจญ อสโม วัดป่าสิริปุญญาราม อ.วังสะพุง หลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ วัดป่าเวฬุวนาราม อ.วังสะพุง ครูบาอาจารย์ทั้งสามองค์ท่านจึงรับทอดต่อมือจากองค์ท่านหลวงปู่ชอบ เพื่อสานธรรมเมตตาต่อจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์..

ปรกตินิสัยของหลวงพ่อผจญท่านจะเป็นผู้ที่อ่อนน้อมถ่อมตนต่อครูบาอาจารย์และหมู่คณะญาติโยม ท่านใช้ชีวิตอยู่อย่างสมถะเรียบง่ายไม่สะสมทรัพย์สินเงินทอง ท่านไม่เคยเรี่ยไรผ้าป่ากฐินกับใคร ปัจจัยเงินทองเมื่อได้มาท่านก็จะสละออกสงเคราะห์โลก..

เมื่อคราวองค์ท่านหลวงตามหาบัวทำโครงการผ้าป่าช่วยชาติ เงินทองที่มีผู้ถวายหลวงพ่อผจญท่านก็จะนำไปถวาย หรือฝากไปองค์ท่านหลวงตามหาบัวเข้าโครงการช่วยชาติ หลวงพ่อผจญท่านจะทำของท่านแบบนี้เงียบๆโดยปิดบังตนเองทางด้านสื่อ..




ตั้งแต่ช่วงในพรรษา เมื่อปี ๒๕๕๕ หลวงพ่อผจญ ท่านก็สั่งงดการก่อสร้างใดใดในวัด ท่านว่า โรคภัยไข้เจ็บมาเยือนแล้ว ให้เร่งไหว้พระสวดมนต์ เจริญจิตตภาวนาแทน ท่านอาพาธเป็นโรคมะเร็งปอดขั้นที่ ๔ แล้วมะเร็งลุกลามไปถึงต่อมน้ำเหลือง กินไปถึงกระดูกสะบักขวา ลามมาถึงกระดูกสันหลังและกระดูกเชิงกรานบั้นเอวข้างซ้าย มีเวทนาแรงกล้า ท่านได้ใช้เวลาช่วงสุดท้ายแห่งธาตุขันธ์นั้นพิจารณาอรรถธรรม จนเมื่อวันพุธที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๖ ตรงกับวันแรม ๙ ค่ำ เดือน ๘ ท่านก็ได้ละสังขารลงด้วยอาการสงบ แพทย์ระบุเวลาสัญญาณชีพดับลงเมื่อเวลา ๒๑.๑๐ น. โดยประมาณ ณ โรงพยาบาลเจ้าพระยา ปิ่นเกล้า กรุงเทพมหานคร สิริรวมอายุได้ ๗๐ ปี ๖ เดือน พรรษา ๔๗

**พญาครุฑเขามาบอกหลวงปู่ตื้อ**

           
หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม
มีอยู่ครั้งนึงจำได้ดี(หลวงพ่อผจญกล่าว) ตอนกลางคืนไปบีบนวดท่าน หลวงปู่ตื้อ ท่านก็เตือนมาว่า
“พรุ่งนี้ยามบ่ายอย่ามาแถวกุฏิเรานะ พญาครุฑเขามาบอกว่า จะมีอสุนีบาตฟาดลงมาที่ต้นไม้ตรงกุฏิ” ท่านใช้คำว่า “อสุนีบาต” เลยนะ เราจำได้ อสุนิบาตก็คือ สายฟ้าฟาด หรือฟ้าผ่านั่นเอง พอถึงช่วงบ่าย เราก็ออกไปทำข้อวัตรปัดตาดปกติ ช่วงนั้นเป็นฤดูแล้ง ไม่มีฝน ท้องฟ้านี้แดดเปรี้ยงเลย พอถึงช่วงบ่ายๆเรามองไปที่ท้องฟ้า แปลกมาก อยู่ดีๆก็มีเมฆดำทะมึนจับตัวลอยเข้ามาๆ แล้วก็มีสายฟ้าฟาดลงมาที่ต้นไม้ใหญ่หักโค่นไปบริเวณเวจกุฎิ (ส้วม) ของหลวงปู่ตื้อ แต่กิ่งไม้นี้พาดเว้นห่างออกไป เราจึงไปกราบเรียนหลวงปู่ตื้อที่ศาลา ว่ามีฟ้าผ่าลงมาตรงเวจกุฎีท่าน ท่านถามว่าแล้วมีอะไรเสียหายไหม ก็เลยตอบท่านว่าไม่มี เพราะกิ่งไม้ได้ลอดผ่านช่วงเวจกุฎีไปพอดี ท่านก็พยักหน้า แล้วไม่ได้ว่าอะไร ใจเรานี้ก็ระลึกที่ท่านบอกเตือนไว้เมื่อคืนเรื่องของพญาครุฑมาเตือน อยากจะถามท่านก็ไม่กล้าถาม จึงกราบแยกตัวไปทำข้อวัตรต่อ พระเณรที่อยู่ที่วัดตอนนั้นก็อยากรู้ จึงได้ยุยงให้เรากราบเรียนถามท่าน


               
พอตกกลางคืนเราก็ไปทำข้อวัตรบีบนวดท่านตามปกติ อยู่สองต่อสอง พอบีบนวดซักพักเราก็รวบรวมความกล้า กราบเรียนถามท่านว่า “หลวงปู่ พญาครุฑนั้นมีจริงหรือครับ ไม่เคยได้ยิน เคยแต่ได้ยินว่ามีแต่พญานาค” ขณะนั้นท่านนอนให้เราบีบนวดท่านอยู่ เมื่อท่านได้ยินเราถามอย่างนั้นท่านก็ยกมือขึ้น แล้วฟาดลงมาที่ตักเราอย่างแรง จนเราตกใจ แล้วท่านก็ลุกขึ้นมานั่งแล้วพูดว่า “โครตพ่อมึง โครตแม่มึง โครตปู่ย่าตายายมึงมันโง่ ถึงได้มีลูกหลานโง่ๆ อย่างมึงออกมานี่แหละ พวกมึงนี่ไม่รู้จักภาวนา ของอย่างนี้มันมีอยู่ แต่ตามึงก็ไม่รู้ไม่เห็น หัดภาวนาให้มันดีซี่ จะได้รู้ได้เห็นมั่ง” พอหลวงพ่อผจญ เล่าถึงเรื่องนี้เสร็จ ท่านก็ขำ แล้วท่านก็เล่าว่า ที่หน้ากุฏิเรามีลาปั้นไว้ ก็เพื่อมาเตือนเจ้าของ (หมายถึงตัวท่าน) นี่แหละ มันโง่นัก เลยให้โยมปั้นลาเอาไว้ ปั้นไว้เอาไว้เตือนเจ้าของแหละ (ที่หน้ากุฏิหลวงพ่อผจญที่วัดสิริปุญญาราม จะมีรูป ลายืนกินหญ้าอยู่ ๒-๓ ตัว)

** ข้อมูลเพื่อการเผยแพร่ - ประวัติย่อ หลวงพ่อผจญ อสโม
เรียบเรียงโดย อดีตครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท


**ด้านวัตถุมงคล หลวงพ่อผจญ**


      เดิมทีท่านไม่คิดจะสร้างเหรียญ หรือออกวัตถุมงคลใดๆในรูปของท่านแม้ก่อนหน้านี้จะมีลูกศิษย์ ลูกหามาขออนุญาตจัดสร้างหลายครั้ง หลายหนแล้วก็ตาม แต่ท่านก็ไม่ได้อนุญาต โดยท่านให้เหตุผลว่า"เหรียญของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ท่านทำไว้ให้บูชากันเยอะแล้ว ดีดี ทั้งนั้นสำหรับท่าน ไม่มีดีอะไรเท่าพ่อแม่ครูบาอาจารย์หรอก"


     
เหรียญรุ่นแรกและรุ่นสุดท้าย
ที่หลวงพ่อผจญ อธิษฐานจิต
หลวงพ่อผจญ ท่านมีนิสัยอ่อนน้อมถ่อมตนมาก ท่านไม่อยากอยากจะแข่งดี ตีเสมอกับครูบาอาจารย์เลย มีแต่จะยอมนอบน้อมต่อครูบาอาจารย์แต่ฝ่ายเดียว 
แต่ในปี 2554 หลวงปู่โกวิท ท่านได้ตั้งกองทุนสงฆ์อาพาธ เพื่อเป็นกองทุนดูแลพระสงฆ์ที่เจ็บป่วยในเมืองเลย ในการนี้จึงได้มีการจัดสร้างวัตถุมงคลขึ้น ในนามของครูบาอาจารย์สายเมืองเลยที่ยังดำรงธาตุขันธ์อยู่ในตอนนั้น คือ

-หลวงปู่ท่อน ญาณธโร
- หลวงพ่อขันตี ญาณวโร
- เจ้าคุณเลี่ยม วัดภูตูม
- หลวงปู่โกวิท
- และหลวงพ่อผจญ

       ซึ่งเดิมทีท่านก็จะไม่ได้ให้สร้างแล้ว แต่เนื่องด้วยครูบาอาจารย์ท่านขอร้อง ท่านจึงยอมให้สร้าง โดยวัตถุมงคลของหลวงพ่อผจญ มีรุ่นนี้เพียงรุ่นเดียว ที่เป็นรุ่นแรก และ รุ่นสุดท้ายของท่าน ก่อนที่ท่านจะมรณะภาพในปี 2556 


โดยมีงานพุทธาภิเษกใหญ่ 1 ครั้ง และแบ่งไปให้ครูบาอาจารย์ตามเหรียญเมตตาเดี่ยวอีกครั้ง ก่อนจะออกให้คนบูชา ทั้งเป็นชุด และ แบบเดี่ยว โดยมี 5 พิมพ์ 5 ครูบาอาจารย์ สร้างแบบละ 5000 องค์