หน้าเว็บ

ประวัติและปฎิปทาหลวงพ่อขันตี ญาณวโร

หลวงพ่อขันตี ญาณวโร 
วัดป่าม่วงไข่ ต.สานตม อ.ภูเรือ จ.เลย

          หลวงพ่อขันตี เกิดเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ.2486 ตรงกับวันอังคาร ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 ปีมะแม เป็นชาวขอนแก่นโดยกำเนิด ปัจจุบัน สิริอายุ 74 พรรษา 54 (เมื่อปี พ.ศ.2561) ปัจจุบันจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าม่วงไข่

หลวงพ่อขันตี เกิด ณ บ้านเลขที่ 136 หมู่ 8 ต.บ้านทุ่ม อ.เมือง จ.ของแก่น(ปัจจุบันคือ บ้านหนองบัว อ.บ้านฝาง จ.ขอนแก่น) โยมบิดาชื่อ นายชัย แสนคำ โยมมารดาชื่อ นางแพง แสนคำ มีพี่น้องร่วมบิดา มารดาทั้งหมด 7 คน โดยหลวงพ่อขันตี ญาณวโร เป็นลูกคนโต หลวงพ่อทวี ปุญฺญปญฺโญ เป็นลูกคนเล็กสุด(ชื่อเดิมนายทวี แสนคำ)

ในวัยเด็กของหลวงพ่อขันตีนั้น ท่านเป็นคนขยันขันแข็น ช่วยงานพ่อแม่ทำไร่ ทำนาและดูแลน้องๆ แทนพ่อแม่อยู่เสมอๆ เป็นคนที่มีความอดทน อ่อนน้อม และหลวงพ่อท่านในวัยเด็กยังเป็นคนสนใจ ใฝ่ธรรมะ ชอบไหว้พระสวดมนต์อยู่เป็นประจำ หลวงพ่อขันตีท่านกล่าวว่า  "สมัยตอนท่านเด็กๆท่านเป็นคนไม่ค่อยแข็งแรงนัก เจ็บป่วยออดๆแอดๆ อยู่เสมอบางทีก็เกือบถึงแก่ชีวิตหลายต่อหลายครั้ง โยมแม่ของหลวงพ่อ จึงได้ไปฝากให้หลวงพ่อขันตีเป็นลูกบุญธรรมหลวงปู่คำดี ปภาโส อาการเจ็บป่วยต่างๆก็ค่อยๆหายไป"  เมื่อหลวงพ่อท่านเรียนจบชั้น ป.4 ท่านก็ขออนุญาตโยมพ่อโยมแม่เพื่อขอบวชสามเณร โยมพ่อแม่ก็เห็นดีด้วยและอนุญาตให้หลวงพ่อบวชเณรได้..

สามเณรขันตี
        หลวงพ่อขันตีท่านได้บวชเณรครั้งแรกเมื่ออายุ 12 ปี ในปี พ.ศ.2499 ณ วัดศรีจันทร์ อ.เมือง จ.ขอนแก่น โดยมีท่านพระครูพิศาลสารคุณ เป็นผู้บรรพชาให้ในปีนั้น เมื่อบวชเณรแล้วหลวงพ่อขันตีก็อยู่ดูแลอุปัฏฐาก ท่านพระครูเจ้าอาวาสอย่างใกล้ชิตและมีความขยันอดทนหมั่นเพียรในการศึกษาธรรมะ  ท่านพระครูพิศาลสารคุณ เจ้าอาวาสวัดศรีจันทร์ จึงได้เรียกชื่อหลวงพ่อขันตีใหม่ จากเดิมชื่อตรีเฉยๆ เรียกใหม่ว่า "ขันตี" หรือ ขันติ แปลว่าผู้มีความอดทน 

         
พระอุโบสถวัดศรีจันทร์
ท่านได้บวชเณรมาเรื่อยๆ จนท่านมีอายุครบบวชพระ อายุ 20 ปี ท่านจึงได้รับการอุปสมทบในวันอังคาร ขึ้น8ค่ำ ปีมะโรง โดยได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อปี พ.ศ.2507 ณ พัทธสีมาวัดศรีจันทร์ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น มีท่านพระ ครูพิศาลสารคุณเป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูศรีธรรมาลังการ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระมหาศรี เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาทางธรรมว่า "ญาณวโร" แปลว่า ผู้ปรีชาหยังรู้สูง

หลวงปู่บุญเพ็ง กัปปโก
ในพรรษาที่ 1 ปี พ.ศ.2507 ในปีแรกนี้หลวงพ่อขันตีท่านได้ไปอยู่จำพรรษากับ หลวงปู่บุญเพ็ง กัปปโก ณ วัดป่าคีรีวัน จ.ขอนแก่น ในพรรษาแรกนี้ หลวงปู่บุญเพ็ง ท่านจะสอนพระเณรในพรรษานั้น ในเรื่องการพิจารณาการ มีสติเป็นไปในกาย ขอวัตรปฎิบัติต่างๆ ในส่วนของหลวงพ่อขันตีนั้น ท่านก็เป็นพระบวชใหม่หลวงปู่บุญเพ็งท่านจะเน้นสอนการภาวนา และ ข้อวัตรต่างๆในเบื้องต้นกับหลวงพ่อขันตี



หลวงปู่คำดี ปภาโส
ครั้งออกพรรษา ท่านก็ได้ย้ายมาจำพรรษา ณ วัดถ้ำผาปู่ อ.เมือง จ.เลยนพรรษาที่ 2 ปี พ.ศ. 2508 เพื่อมาฝึกหัดการภาวนา โดยท่านกล่าวว่า "ท่านกับหลวงปู่คำดี เป็นคนบ้านเดียวกัน(คนจังหวัดขอนแก่น) จึงมีความคุ้นเคยกับท่านมาก่อน จึงได้มาอยู่จำพรรษากับท่านที่จังหวัดเลยเพื่อมาฝึกอบรมณ์ภาวนา" หลวงปู่คำดี ปภาโส ท่านก็ให้ความเมตตาหลวงพ่อขันตี โดยสอบถามหลวงพ่อขันตีครั้งมาอยู่จำพรรษาวัดถ้ำผาปู่ครั้งแรกว่า "ท่านใช่อะไรภาวนา" และสอบถามถึงเรื่องจริตต่างๆ ครั้งหลวงพ่อขันตีก็กราบเรียนหลวงปู่คำดีตามความรู้ ความเข้าใจแล้ว หลวงปู่คำดีก็บอกสอนเกี่ยวกับจริตภาวนา แจกแจงความเป็นมาและความเหมาะสมของจริตพร้อมอธิบายหลักการภาวนาให้หลวงพ่อขันตีฟังอย่างละเอียดลึกซึ้งจนเข้าใจ

ในปีดังกล่าวที่ท่านได้มาจำพรรษาที่วัดถ้ำผาปู่ มีพระเณรทั้งหมด 40 รูป หลวงพ่อขันตีท่านกล่าวว่า"ในปีนั้นจิตใจท่านฟุ้งซ่าน วุ้นวายเป็นอย่างมาก" ซึ่งหลวงปู่คำดีท่านก็ทราบดี ท่านจึงแนะนำให้หลวงพ่อขันตีมีความอดทน ปรารบให้เร่งความเพียรมากยิ่งขึ้น ให้หลีกเร้นจากหมู่คณะ ให้หาที่สงบภาวนาให้มาก ให้ละความกังวนต่างๆ กลับมาตั้งสติตั้งใจภาวนาเร่งให้เกิดความสงบ..."


จนในพรรษาที่ 3 ปี พ.ศ.2509 หลวงปู่คำดี จึงพาหลวงพ่อขันตีไปจำพรรษา ณ วัดป่าหนองแซง จ.อุดรธานี กับ หลวงปู่บัว สิริปุณโณ ซึ่งท่านเป็นเจ้าอาวาสในขณะนั้น เมื่อไปถึงที่วัดหลวงปู่บัวท่านก็ให้โอวาทธรรมว่า"เรื่องจิตใจที่หลอกลวงตลอดเวลานั้น เป็นเพราะการ
หลวงปู่บัว สิริปุณโณ
ขาดสติ ขาดปัญญา จึงกลายเป็นตัวกิเลสทำให้เกิดทุกข์ หรือพาไปหาความทุกข์ไปที่ไหนถ้าใจไม่มีสติ ไม่มีปัญญา ความศรัทธาความเชื่อความ เลื่อมใสในคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ยังไม่มีหลักสรณะทางจิตใจ หากมีแต่ปล่อยจิต ปล่อยใจไปตามสัญญาแห่งอามรณ์ทั้งวัน ทั้งคืนไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน ก็จะมีแต่ความทุกข์ร้อนเป็นไฟ เพราะใจได้ถูกแผดเผาด้วย ราคะ โทสะ โมหะ ดังนั้นควรที่จะมีสติระลึกรู้ตัวอยู่ตลอดไป จะมานั่งมานอนรอความตาย ให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ จะต้องหมั่นภาวนาศึกษา ให้จิตให้ใจมีที่พึ่ง ไม่ใช่ปล่อยเวลาให้เสียไปวันๆ"
เป็นโอวาทสำคัญที่หลวงปู่บัว ท่านอบรมณ์สั่งสอนหลวงพ่อขันตี ในพรรษที่มาจำที่วัดป่าหนองแซงนี้


        ครั้งพอออกพรรษาในปี 2509 นั้นหลวงปู่คำดีท่านก็กลับไปอยู่ที่วัดถ้ำผาปู่ โดยหลวงพ่อขันตีกราบเรียนขออนุญาตจากหลวงปู่คำดี ไม่กลับไปวัดถ้ำผาปู่ด้วย แต่จะอยู่ปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่บัวนี้ก่อนสักระยะหนึ่ง หลวงปู่คำดีท่านก็เมตตาอนุญาต ในระหว่างที่อยู่วัดป่าหนองแซงนี้ หลวงพ่อขันตีท่านก็อยากเที่ยวไปกราบครูบาอาจารย์ในที่อื่นๆ หลวงปู่บัวท่านก็ทราบว่า หลวงพ่อขันตีท่านตอนนี้ มีจิตใจที่ยังวุ้นวายอยู่ท่านจึงให้โอวาท หลวงพ่อขันตีเตือนใจว่า"การที่เราจะเที่ยวไปหาครูบาอาจารย์ทั้งหลายนั้น ต้องพิจารณาดูว่าไปด้วยเหตุผลอันใด การปฏิบัติทำความเพียรนั้นร่วนเกิดแต่ตัวเราทั้งสิ้น ครูบาอาจารย์ท่านจะปฎิบัติแทนเราไม่ได้ การบำเพ็ญเพียรภาวนา เราต้องทำด้วยตัวเราเองเท่านั้นผลจึงจะเกิดกับตัวเรา ครูบาอาจารย์จะมาทำแทนเราได้หรือ ท่านเป็นแต่เพียงผู้บอก ผู้สอนเราเท่านั้น" ท่านจึงกลับมาพิจารณาในคำสอนเตือนสติของหลวงปู่บัว จึงทำให้ท่านมีกำลังใจใน ความพากความเพียรเพิ่มมากขึ้น ทั้งแล้วก็ทำให้จิตใจท่านสงบลงมาก ท่านจึงอยู่ภาวนากับหลวงปู่บัว ที่วัดหนองแซงนี้อีก 4 พรรษา รวมเป็น 5 พรรษากับการอยู่ปฎิบัติที่นี้...


ต่อมาในพรรษาที่ 13 ปี พ.ศ. 2519 ท่านได้จาริกธุดงค์ไปจำพรรษา
หลวงปู่ชอบ ฐานสโม
ปรนนิบัติ และอยู่ปฎิบัติ กับ 
หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ณ วัดป่าสานตม อ.ภูเรือ จ.เลย โดยหลวงพ่อขันตีท่านได้มีโอกาสอยู่อุปัฏฐากหลวงปู่ชอบ และได้รับอุบายธรรมกับหลวงปู่ชอบ เพื่อนำไปปฎิบัติ ซึ่งในช่วงนี้ เป็นช่วงที่หลวงปู่ชอบ ท่านมาสร้างวัดใหม่ชื่อว่าวัดป่าสานตม หลวงพ่อขันตีท่านกล่าวว่า"ในช่วงนี้ลำบากมาก เพราะที่นี้อากาศหนาวมาก หลวงปู่ชอบท่านก็ไม่ให้พระที่มาอยู่ด้วยก่อไฟผิง เพราะจะมีแต่มาสุมหัว พูดคุยกันในเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่หลวงปู่ชอบจะให้พระเดินจงกรมแทน เพื่อเป็นการกระตุ้นธาตุไฟให้เกิดความอบอุ้นภายใน"


ในพรรษาที่ 14-15 ประมาณปี พ.ศ. 2520-2521 ท่านได้ธุดงค์ไปจำ

พรรษา ณ วัดป่าแม่ริน(ห้วยน้ำริม) อ.แม่ริมจ.เชียงใหม่ และที่ อ.ปาย แม่ฮ่องสอน สถานที่แห่งนี้ทำให้จิตใจหลวงพ่อขันตี ได้มีโอกาสรละว่างความโกรธความพยาบาทลงได้ เพราะได้ตั้งใจทำความเพียรทั้งวันทั้งคืน ทำให้จิตสงบทำให้ได้เห็นอานิสงค์ ว่าคนที่ดุด่าว่ากล่าวตนล้วนแต่เป็นผู้มีพระคุณทั้งนั้น หลวงพ่อขันตีท่านกล่าวว่า"อยุ่ปฎิบัติที่นี้ ท่านก็ได้นำคำสอนของพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงปู่คำดีมา พิจารณาว่าหากใจยินดีในสุข ก็ต้องเป็นทุกข์ ทุกข์นี้ก็มีคุณมากเพราะจะทำให้เราเห็นโทษเห็นภัย และจะได้ตั้งใจให้ออกจากทุกข์ เร่งการบำเพ็ญให้มากเพื่อจะได้หนีจากทุกข์ เพราะถ้ามีแต่สุขจะไม่เห็นโทษแห่งทุกข์ที่มีอยู่เลย จะประมาทมัวเมาในชีวิต ไม่ตั้งใจบำเพ็ญภาวนา ก็ต้องตกเป็นธาตุของกิเลสตลอด แล้วก็ตายโดยไม่พบแสงสว่าง ตายโดยไม่ได้มรรค ม่ได้ผลอะไรเพราะใจนั้นมืดบอด อยู่กับวัตถุข้าวของ เงินทอง ที่ไม่มีแก่นสารอะไร" นี้คือคำสอนของหลวงปู่คำดีที่สอนหลวงพ่อขันตี ให้ภาวนาตั้วใจบำเพ็ญเพียร อย่าอยากได้โน่น ได้นี้ ให้ตั้งใจปฎิบัติบูชาคุณพระพุทธเจ้า ไม่ต้องส่งจิตส่งใจออกไปภายนอก ทั้งคดีทั้งอนาคต ให้กำหนดรู้ปัจจุบันภายในจิตเท่านั้น วันเวลาล้วงไปล้วงไปบัดนี้เราทำอะไรอยู่ ถ้ามีสติธรรมก็จะเกิด ละทุกข์ได้ ให้ตั้งใจปฎิบัติตามคำสอน ไม่ใช่เอาแต่หลับนอนเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ สิ่งที่หน้ากลัวที่สุดคือกิเลสภายในใจเรานี้เอง...


หลวงปู่ขาว อนาลโย

พรรษาที่ 16 ประมาณ พ.ศ.2522 หลวงพ่อขันตี ท่านก็ได้จาริธุดงค์ไปพักจำพรรษา ณ วัดถ้ำกลองเพล จ.อุดรธานี กับหลวงปู่ขาว อนาลโย เป็นเวลา 1 พรรษา  หว่างอยู่จำพรรษากับหลวงปู่ขาวนี้ หลวงปู่ขาวท่านสอนหลวงพ่อขันตี ให้บำเพ็ญเพียร โดยการตั้งสัจจะ รักษาสัจจะ ในการบำเพ็ญภาวนา

ช่วงพรรษาที่ 17 พ.ศ.2523 ท่านได้กลับไปจำพรรษาที่จังหวัดเลยอีกครั้ง ในช่วงพรรษาที่ 18 ราวปี 2524 ได้ธุดงค์ไปจำพรรษา ณ วัดอโศการาม จ.สมุทปราการ พอพรรษา 19-23 ใน พ.ศ.2525-2529 ท่านกลับมาจำพรรษาที่วัดห้วยเดื่อ อ.วังสะพุง จ.เลย 
ในช่วงพรรษาที่ 24 ท่านได้มาจำพรรษาวัดป่าบ้านบง อ.ภูเรือ จ.เลย ในปี พ.ศ.2530

ช่วงพรรษาที่ 25-34 พ.ศ.2531-2540 ท่านก็ได้มาจำพรรษา ณ วัดป่าห้วยเดื่อ อ.วังสะพุง จ.เลย(วัดป่าสันติธรรม) ซึ่งในช่วง 10 ปีนี้ ท่านได้มีโอกาสแวะเวียนไปดูแล ปฎิบัติกับหลวงปู่ชอบ ที่วัดป่าโคมน อยู่เป็นประจำ จนถึงปี 2538 หลวงปู่ชอบท่านก็ละสังขาร ซึ่งหลวงพ่อขันตี ท่านก็อยู่ช่วยงานตั้งแต่แรก จนงานพระราชทานเพลิงแล้วเสร็จ



หลวงปู่ไชย สัญตุฏฐิโก
ในปี 2529 หลวงปู่ไชย สัญตุฏฐิโก วัดป่าห้วยเดื่อ โยมบิดาของหลวงพ่อขันตี ญาณวโร(ที่มาบวช) ก็ละสังขารมรณะภาพ เมื่ออายุได้ 88 ปี 29 พรรษา ทำให้ท่านปรงอนิจจังการเกิด แก่ เจ็บ ตาย คนเราเกิดมาไม่มีอะไรมาด้วย ไปก็ไม่มีอะไรไปด้วย ทั้งหลายทั้งมวลเป็นอนิจจังจึงทำให้หลวงพ่อขันตี ออกภาวนาเร่งความเพียรเพิ่มมาขึ้น หลวงพ่อขันตีท่านกล่าวว่า "เพราะได้พิจารณาแล้ว อายุย้อมจะมีแต่ผ่านพ้นและหมดไป ไม่มีอะไรที่จะยังยืนมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา  มีแต่เกิดมาแก่ เกิดมาเจ็บ เกิดมาตายด้วยกันหมดทั้งโลก ร่างกายก็เต็มไปด้วยของที่ไม่สะอาดมีประการต่างๆไม่ว่าจะ ผม ขน เล็บ ฟันหนังเนื้อ ที่มีเต็มอยู่ภายใน ไม่มีอะไรที่จะอยู่คงทนอยู่ได้ มีแต่เสือมโทรม ลงไปทุกขณะลมหายใจ ถ้าหมดลมปราณเมื่อใดก็ไม่มีอะไรเหลือ บางคนตอนมีชีวิตอยู่อวัยวะบางส่วนยังต้องเสียไป บางคนเป็นเบาหวาน ต้องตัดขา ตัดแขนไปก็มี หรือประสบอุบัติเหตุต้องสูญเสียอวัยวะบางแห่งไปก็มี แม้เรารักเราหวงแหนมากขนาดไหน ก็ไม่อาจรักษาคงทนอยู่กับเราได้ตลอดไป ควรเร่งความเพียรให้มาก อย่าไปวนเวียนเพียรเป็นคนมักมาก ความเสียใจจะตามมาในภายหลัง...."
พิพิธภัณฑ์หลวงปู่ชอบ วัดป่าม่วงไข่

 ปัจจุบันหลวงพ่อขันตี ญาณวโร มาจำพรรษา ณ วัดป่าม่วงไข่ ตั้งแต่ ปี 2545 จวบจนปัจจุบัน ซึ่งที่วัดป่าม่วงไข่แห่งนี้ ท่านเคยมาอยู่พักภาวนาก่อนแล้วสมัยหลวงปู่ชอบ และหลวงปู่ชอบ ท่านก็ได้สร้างไว้มาก่อน...

**ประสบการเที่ยวจาริกธุดงค์อยู่กับครูบาอาจารย์**

      หลวงพ่อขันตีในระหว่างที่ท่านเที่ยวธุดงค์อยู่นั้น ท่านกล่าวว่า ท่านเคยไปอยู่ปฎิบัติกับครูบาอาจารย์หลายองค์ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ทุกองค์ต่างให้ความเมตตาสั่งสอนท่าน ทำให้ท่านมีกำลังใจ แม้ว่าจะธุดงค์ลำบากยากเข็นขนาดไหน ท่านก็อด ก็ทน เอาชีวิตเข้าแลกธรรม บูชาคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยะสงฆ์....



หลวงพ่อขันตี หลวงปู่คำดี
      หลวงพ่อท่านเริ่มออกจาริธุดงค์หลังจากพรรษาได้ 10 กว่าๆแล้ว
โดยทีแรกอยู่ถ้ำผาปู่กับหลวงปู่คำดี ปภาโส 2 พรรษา หลวงพ่อขันตีท่านกล่าวว่า"หลวงปู่คำดีท่าน จะสอนให้เราภาวนา แรกๆท่านอธิบายเรื่องจริตทางธรรมอย่างละเอียดให้ฟัง จนเข้าใจแล้วไปปฎิบัติ ท่านสอนให้รู้จักอด จักทน ก่อนเราจะออกจากท่านไป ท่านก็ให้โอวาทว่า"ขันตีเอ่ยไปไหนก็ให้อด ให้ทนเด้อ อย่าทำตัวดีตัวเด่น ให้รู้จักสำรวมมีสติเด้อ..""


      หลังพอออกพรรษาแล้วหลวงพ่อขันที่ ท่านก็ไปอยู่กับ หลวงปู่บัว สิริปุณโณ วัดป่าหนองแซง จ.อุดรธานี ไปอยู่กับหลวงปู่บัวถึง 5 พรรษา ตอนนนั้นท่านกล่าวว่า "เราตั้งหน้า ตั้งตาภาวนาเต็มที่ละตอน
หลวงปู่บัว สิริปุณโณ
นั้นจิตก็ยังฟุ้งซานอยู่ เลยมาจับลมหายใจระลึกพุทโธๆ เหมือนลมหายใจมันจะขาดนี้ละ เลยตกใจกลัวตายว่างันเถอะ แต่จิตมันก็ยังฟุ้งซานอยู่นั้นละ เราเลยไปเล่าให้หลวงปู่บัวท่านฟัง หลวงปู่บัวท่านว่า
"ทำไปเลย ถ้าภาวนาแล้วมันจะตาย ก็ให้มันตายไปอย่าไปกลัว ทำไปๆกิเลสมันหลอกว่าจะตายๆนะไปกลัวมันทำไม ไปๆไปทำอย่าพูดมาก" ....จากนั้นท่านก็ตั้งสัจจะว่าจะภาวนาจนให้จิตสงบ จะตายก็ตายลองดูสิ ถึงตายก็ตายเพื่อบูชาคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ จากนั้นมาท่านตั้งหน้าตั้งตา ภาวนาอย่างหนัก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นท่านก็มีสติจดจ่ออยุ่กับคำภาวนานั้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ลดละความเพียร จนในที่สุดจิตมันสงบลงได้ ท่านกล่าวว่า.."เราทำทั้งคืนละ ทั้งเดินจงกรมนั่งภาวนา ตัดสินใจตายเป็นตายลองดู สุดท้ายคืนนั้นทั้งคืน เดินจงกรมจิตก็สงบลงจริงๆ สบายเลยภาวนาจนถึงเช้า "...



        หลังจากอยู่กับหลวงปู่บัวจนได้หลักจิต หลักใจพอสมควรแล้ว
หลวงพ่อขันตี หลวงปู่ชอบ
ท่านก็เที่ยวไปอยู่กับ หลวงปู่ชอบบ้าง หลวงปู่หลุยบ้าง หลวงปู่ขาวบ้าง โดยท่านกล่าวว่า ..
"เราไปอยู่กับหลวงปู่ชอบที่สานตม ตอนนั้นท่านก็เดินไม่ได้แล้ว แต่ท่านก็ให้โอวาทคำสอนอยู่ตลอด กับหลวงปู่ชอบนี้ เราอยู่กับท่านที่วัดโคกมน 5 ปีนะ ท่านก็เล่าเรื่องนั้น เรื่องนี้ให้ฟังอยู่เรื่อยๆเป็นอุบายธรรมให้เรามีกำลังใจปฎิบัติ หลวงปู่ชอบนี้ท่านถือข้อวัตรมาก มักน้อย ขนาดสบงจีวรท่านนี้ ขาดชุนแล้วชุนอีกนะ ท่านใช้มาถึง 12 ปี คิดดูสิน่ะ..."



        ท่านเล่าต่อไปว่า ท่านไปอยู่กับหลวงปู่ขาว อนาลโย 1 พรรษา
ตอนนั้นหลวงปู่ขาวท่านก็อาพาธหน่อยแล้วละ หลวงปู่ขาวเล่าให้ท่านฟังเกี่ยวกับหลวงปู่ชอบว่า "หลวงปู่ชอบนี้ สมัยไปเที่ยวธุดงค์ด้วยกัน
หลวงปู่ขาว หลวงปู่ชอบ
ปาฏิหาริย์ท่านเยอะ มีครั้งหนึ่งไปธุดงค์หลงอยู่บนเขา ไม่ได้ฉันท์อาหารมาเป็นวันแล้ว เพราะไม่มีบ้านคน น้ำก็หมด หลวงปู่ขาวท่านว่า อดข้าวนี้พอทนได้ แต่ทดน้ำนี้ลำบาก สักพักหลวงปู่ชอบท่านก็ ลงไปแถวๆซอกหินท่านอธิษฐานจิตให้น้ำผุดนะ น้ำผุดขึ้นมาจริงๆละ ผุดขึ้นมาจากซอกหิน ก็เลยได้ตัก ได้กินกันเลย ล้างหน้า ล้างตาอาบดื่มกันจนก็หายกระหายแล้ว น้ำนั้นก็หายไป"
หลวงพ่อขันตีท่านย้ำว่านี้เป็นเรื่องที่หลวงปู่ขาว เล่าให้ท่านฟังเอง



           ประมาณพรรษาได้ 10 กว่าๆหลวงพ่อขันตี ท่านเคยไปอยู่กับ
หลวงพ่อขันตี หลวงปู่หลุย
หลวงปู่หลุยที่ถ้ำผาบิ้ง อยู่กับหลวงปู่หลุยประมาณ 1 ปี ท่านว่า...
"หลวงปู่หลุยนี้ท่านมักน้อยที่สุด ขนาดสบง จีวรท่านนี้ ท่านจะไปนำเก็บพวกเศษผ้าที่เขาไม่ใช่แล้วนั้นนะ ไปบังสกุลมาว่างันเถอะ เศษเล็ก เศษน้อยมา แล้วมาเย็บๆปะๆแล้วย้อมสีใส่ ตัดเป็นผ้าสบงจีวร จีวรท่านนี้ผืน ผืนหนึ่ง ท่านใช้เป็น 10 ปีขึ้นนะหลวงปู่หลุย นี้ล่ะ ท่านทำให้ลูกศิษย์ ลูกหาดูเป็นตัวอย่าง..."



            
หลวงพ่อขันตี เคยเล่าว่า ท่านเองเคยไปอยู่
หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ
วัดป่าบ้านตาดด้วย สมัยนั้นท่านก็ได้มีโอกาสไปฟังโอวาทธรรมองค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปัณโณ โดยท่านได้รับความเมตตาจากหลวงปู่บุญมี 
ปริปุณโณ ในครั้งไปอยู่ที่วัดป่าบ้านตาด และท่านกล่าวว่า"ตอนเราอยู่วัดห้วยเดื่อใหม่ๆ หลวงปู่บุญมี ก็มาเมตตาเราหลายครั้ง ทั้งมาอยู่นี้(วัดป่าม่วงไข่) ท่านก็มาเมตตาหลายครั้ง ท่านสงสารเรา ท่านมาเมตตาเรา"





**ด้านวัตถุมงคลหลวงพ่อขันตี**

       ปกติแล้วหลวงพ่อขันตีท่านไม่ได้คิดว่าจะมี ปฎิปทามาทางด้านสร้างเสกวัตถุมงคลนี้เลย แต่ในปี 2538 มีลูกศิษย์สายกรุงเทพ มาขออนุญาตหลวงพ่อจัดสร้างเหรียญรูปพระพุทธขึ้น โดยชื่อว่า "หลวงพ่อเพชร" แต่อย่างไรไม่ทราบมีการจัดสร้าง เหรียญรูปหลวงพ่อขึ้นมาด้วย จึงได้กลายเป็นว่า ท่านได้มีเหรียญรุ่นแรกขึ้นในปีนี้ 2538

ท่านก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรเพราะสร้างขึ้นมาแล้ว ท่านก็จึงเลยตามเลย แจกกันไปตามความศรัทธา และนับแต่นั้นมาก็มีพระออกในนามหลวงพ่อมากมายหลายร้อยรุ่น โดยทั้งสร้างอย่างเป็นทางการ และไม่เป็นทางการ จากคณะศิษย์หลายสาย


หลวงพ่อท่าน เองท่านก็มีเมตตา เมตตาอธิษฐานจิตให้ทุกๆรุ่นที่สร้างมา ไม่ว่าจะออกในนามท่าน หรือ ออกในนามวัดอื่น ดังนั้นในที่นี้จึงขอนำเสนอเพียงบางรุ่นของหลวงพ่อเท่านั้น พอเป็นวิทยาทานตัวอย่าง...


         
เหรียญหลวงพ่อขันตี รุ่นแรก


เหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อขันตี ออกเมื่อ ปี2538 โดยคณะศิษย์สายกรุงเทพสร้างถวาย มีทั้งเหรียญหลวงพ่อเพชรพิมพ์ใหญ่ และ พิมพ์เล็กออกพร้อมกันด้วย 



เหรียญรุ่นแรก พิมพ์พระพุทธใหญ่



โดยออกที่วัดห้วยเดื่อ อ.หนองหิน จ.เลย จำนวนสร้างเพียงเนื้อทองแดงเท่านั้น หลวงพ่อเพชร พิมพ์ใหญ่ 5,000 เหรียญ หลวงพ่อเพชรพิมพ์เล็ก 5,000 เหรียญ พิมพ์รูปเหมือน 5,000 เหรียญ
หลวงพ่อท่านเมตตาอธิษฐานจิตและมอบให้ ครูบาอาจารย์สาย
ลูกศิษย์หลวงปู่ชอบ ร่วมอธิฐานจิตตลอดเวลา 9 เดือน  
โดยไว้แจกแก่ผู้ศรัทธา และแจกแก่ลูกศิษย์ในวันที่ 12 ต.ค. 2538 
ในวาระครบรอบ 53 ปี ของหลวงพ่อขันตี ญาณวโร
เมื่อทางหลวงพ่อขันตี ได้รับเหรียญ รุ่นแรกของท่านทั้ง 2 แบบ แล้ว
เหรียญพระพุทธรุ่นแรก พิมพ์เล็ก
คือ เหรียญหลวงพ่อเพชร และ เหรียญรูปท่านแล้ว ท่านได้มอบหมายให้พระอาจารย์ทวี น้องชายของท่าน นำเหรียญทั้งหมดไปไว้ใต้ฐานพระพุทธรูปหลวงพ่อเพชร ที่วัดสันติธรรม ห้วยเดื่อ เพื่อให้ครูบาอาจารย์ได้ร่วมอธิษฐานจิต 3 ไตรมาส


จนเมื่องานผูกพัทธสีมาบ้านห้วยเดื่อ หลวงพ่อขันตี ได้มอบเหรียญหลวงพ่อเพชร และ เหรียญรูปท่าน ซึ่งเป็นรุ่นแรกของท่าน ให้หลวงปู่จันทา ถาวโร วัดป่าเขาน้อย จ.พิจิต หลวงพ่อทิวา อาภากโร หลวงพ่อจันทร์เรียน คณวโร วัดถ้ำสหาย อธิษฐานจิตก่อน ก่อนจะออกแจกให้ญาตโยมได้บูชา 

   
รูปหล่อรุ่นแรก หลวงพ่อขันตี
   
ในปี 2554 คณะศิษย์สายขอนแก่น ขออนุญาตหลวงพ่อสร้าง รูปหล่อ รุ่นแรกหลวงพ่อขันตีขึ้นชื่อ รุ่น หัวใจเศรษฐี จัดสร้างขึ้นมา ๓ เนื้อ คือ เนื้อทองคำ และ เนื้อเงิน สร้างจำนวนน้อยมาก ส่วน เนื้อนวะโลหะพิเศษ ๓,๓๐๐ องค์ ทุกองค์ตอกโค้ต ศ ทุกองค์ 
ทั้งนี้ หลวงพ่อขันตีตั้งใจจะปลุกเสกรูปหล่อรุ่นแรกของท่านนานถึง ๙ ปี โดยเริ่มตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๔ และตั้งใจจะแจกใน พ.ศ. ๒๕๖๓